ปีหน้า บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด หรือ ปตท.สผ. จะมีอายุครบ
10 ปี ในช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ปตท.สผ. พัฒนาตัวเองจากจุดเริ่มต้นด้วยการเข้าไปถือหุ้นในโครงการสำรวจ-ผลิตน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติของบริษัทน้ำมันต่างชาติ
ค่อยๆ สร้างคนสะสมทุน มาจนถึงการเป็นเจ้าของแหล่งผลิต ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญในธุรกิจสำรวจ-ผลิตปิโตรเลียม
และกำลังจะขยายตัวเป็นกิจการพลังงานในระดับภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้
การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจปิโตรเลียมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นน้ำมัน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนธุรกิจการขนส่งและโรงไฟฟ้า
การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง
แม้ว่าจะได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2464 โดยในปี 2514 ได้มีการออกพระราชบัญญัติปิโตรเลียม
พ.ศ. 2514 เพื่อกระตุ้นให้บริษัทน้ำมันต่างชาติที่มีประสบการณ์สูงเข้ามาสำรวจอย่างแท้จริง
โดยทั่วไปวงจรของธุรกิจนี้ เริ่มจากการสำรวจหาแหล่งซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ปี
เมื่อพบแหล่งปิโตรเลียมที่จะพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ จึงจะเข้าไปพัฒนาการผลิต
ในระยะนี้ผู้ดำเนินการจะต้องมั่นใจในการลงทุนระดับหนึ่ง จึงต้องติดต่อหาผู้ซื้อปิโตรเลียมไว้ล่วงหน้าและจัดทำสัญญาการซื้อขายระยะยาว
ซึ่งระยะเวลาการผลิตจะขึ้นกับปริมาณสำรองที่ค้นพบ และปริมาณการผลิตจริงแต่ละปี
โดยเฉลี่ยแล้วแหล่งปิโตรเลียมในไทยจะมีระยะเวลาการผลิตประมาณ 20 ปี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยหรือ
ปตท.คือผู้รับซื้อปิโตรเลียมรายใหญ่ที่สุดในประเทศ
ปิโตรเลียมที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดถูกใช้ในประเทศ โดยมีปริมาณเพียง 1 ใน
3 ของความต้องการใช้โดยรวม ส่วนที่เหลือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
สัมปทานหนึ่งๆ อาจออกให้แก่ผู้รับสัมปทานรายเดียวหรือผู้รับสัมปทานตั้งแต่สองรายขึ้นไปก็ได้
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ในการร่วมทุนจะมีบริษัทหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ
(OPERATOR) แทนผู้อื่น ทั้งนี้ผู้ดำเนินการจะเป็นผู้กำหนดแผนการเงินที่จะเรียกเก็บจากผู้ร่วมทุนอื่นๆ
(NON-OPERATOR) เพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการ ผู้ร่วมทุนจะมีส่วนตัดสินใจทางเทคนิคและทางการเงินผ่านตัวแทนในคณะกรรมการจัดการ
โดยทั่วไปบริษัทน้ำมันหนึ่งๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ได้พอสมควรแล้ว มักจะผันตัวเองไปเป็นผู้ดำเนินการเพื่อมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการจัดการและบริหารงาน
การก้าวกระโดดขึ้นทศวรรษใหม่ของ ปตท.สผ.
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้รับการจัดตั้งเมื่อเดือนมิถุนายน
2528 ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายก ซึ่งมี รท. ศุลี มหาสันทนะ ผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการธุรกิจน้ำมันมาเป็นเวลายาวนาน
รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายนกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
ในยุคอาณัติ อาภาภิรมเป็นผู้ว่าการโดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเพียง 4 แสนบาท
มติคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้ง ปตท.สผ. ขึ้นในเวลานั้น มีเป้าหมายเพื่อให้รัฐสามารถเข้าร่วมถือสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมได้
โดยมีหน่วยงานการบริหารอย่างอิสระ มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจแข่งขันกับบริษัทน้ำมันต่างประเทศได้
แต่ในครั้งนั้น ปตท.ถือหุ้น 99.99 % ปตท.สผ. จึงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ เพิ่งจะเมื่อต้นปี
2531 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้บริษัท ปตท.สผ. ดำเนินธุรกิจโดยไม่ต้องนำคำสั่ง
กฎ ระเบียบ มติครม. ที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับ แต่ทั้งนี้ไม่รวมการปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ การลงทุนในโครงการริเริ่มใหม่ที่มีความสำคัญและใช้เงินทุนสูง
ปตท.สผ. ยังคงต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอยู่ดี
วิเศษ จูภิบาล กรรมการผู้จัดการปตท.สผ. กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ถึง ภารกิจของบริษัทว่า ปีที่ 10 ของ ปตท.สผ. ที่จะเข้ามาถึงในปีหน้า บทบาทและหน้าที่หลักคือ
การผลักดันตัวเองขึ้นเป็น OPERATOR ชั้นนำในภูมิภาคนี้ ซึ่งต้องพร้อมด้วยบุคลากร
เทคโนโลยี และเงินทุน
"อาจจะเรียกได้ว่าในช่วง 3-4 ปีแรกเป็นบริษัทกระดาษด้วยซ้ำแต่เราได้ทยอยเพิ่มทุนมาเรื่อยๆ
เพื่อนำไปดำเนินโครงการต่างๆ" วิเศษกล่าว
กลางปี 2531 บริษัทเพิ่มทุนอีก 500 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อสิทธิสัมปทานคืนจากบริษัทเท็กซัสแปซิฟิคในแปลงสำรวจ
14-15-16-17 ในอ่าวไทยนอกชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ครั้งนั้น ปตท.สผ. ต้องจ่ายเงินค่าสิทธิสัมปทานประมาณ
2,231 ล้านบาท
พฤษภาคม 2533 ปตท.สผ. ได้เพิ่มทุนเป็น 2,200,400,000 บาท รองรับโครงการบงกชและการเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการยูโนแคล
3
การขยายตัวอย่างมากของปตท.สผ. เริ่มในช่วงปี 2535-36 ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนสิงหาคม
2533 ได้จัดตั้งบริษัท ปตท.สผ. (พม่า) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ปตท.สผ.
อินเตอร์เนชั่นแนล โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับยูโนแคล
(พม่า) ยูโนแคล (แคนาดา) และปิโตรแคนาดา (พม่า) ในสัดส่วน 10% เพื่อสำรวจแปลง
F ภาคกลางของพม่า เขตเมืองสาลิน และที่สุดต้นปี 2535 ก็สรุปได้ว่าไม่มีศักยภาพพอในเชิงพาณิชย์
ผู้ร่วมทุนทุกฝ่ายจึงยกเลิกสัญญาสำรวจ
ปี 2535 ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเพื่อสามารถระดมทุนจากประชาชนทั่วไปได้
ปีต่อมาเพิ่มทุนโดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 130 บาท
คิดเป็นร้อยละ 16.13 ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมด ทั้งนี้ได้เงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนประมาณ
6,500 ล้านบาท เพื่อไปลงทุนในโครงการสำคัญคือ บงกช บี 12/27 และโครงการอื่นๆ
ในเดือนมิถุนายน 2536 ก็ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ช่วงเดียวกันนี้ ปตท.สผ. ได้ซื้อกิจการบริษัทในกลุ่มบริติชปิโตรเลียม (BP)
ซึ่งถือสิทธิแปลงสัมปทาน BP 1 และ B 12/27 ใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ
(ประมาณ 1,100 ล้านบาท) ปตท.สผ. ได้ยุบบริษัทเคเคดีที่ถือสิทธิสัมปทาน บี
12/27 มาเป็นของ ปตท.สผ. และยุบบริษัททวีเอสเอฟซึ่งถือสิทธิโครงการบีพี 1
100% โอนให้ ปตท.สผ. พม่าซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนลและเพิ่ม่ทุนจาก
10 ล้านเป็น 600 ล้านบาท บริษัทนี้ได้เริ่มงานในฐานะ "ผู้ดำเนินงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียม"
(OPERATOR) อย่างสมบูรณ์ในโครงการ PTTEP - 1 ด้วยอัตราการผลิตเฉลี่ยวันละ
1,100 ล้านบาร์เรล
วิเศษ ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ ปตท.ที่ลุกจากตำแหน่งล่าสุดของตนที่นั่นคือ
ตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการมานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการที่บริษัทใหม่ที่อยู่ตึกเดียวกัน
เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็นก้าวกระโดด "คือการเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งน้ำมันบนบกด้วยการซื้อสัมปทานบีพีเพื่อมาพัฒนาตนเอง
ในขณะเดียวกันการเป็นบริษัทมหาชนก็เพื่อระดมทุน ทุกอย่างเป็นการเตรียมการสำหรับปี
2538 ที่จะรับผิดชอบโครงการใหญ่และการลงทุนเพิ่มเติมที่จะตามมา"
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ ปตท.สผ. อยากจะบรรลุในการเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมชั้นนำในภูมิภาคนี้
ที่มีขีดความสามารถในการดำเนินการให้มีประสิทธิผลและกำไร อย่างตระหนักถึงความปลอดภัยและการป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อม
และเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของบริษัทนานาชาติ ที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการปิโตรเลียมทั้งในไทยและภูมิภาค
ปตท.สผ. ได้พัฒนาตัวเองจากการเป็นผู้ร่วมทุนที่ถือสิทธิส่วนน้อยในช่วงต้นๆ
ของการดำเนินงาน เป็นผู้ดำเนินโครงการในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การสำรวจและประเมินผล
ขั้นการผลิต มาจนถึงเป็นผู้ถือสิทธิหลักและดำเนินโครงการพัฒนาปิโตรเลียม
ทั้งในและต่างประเทศหลายโครงการ
ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีทุนจดทะเบียน 3,100 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สินต่อทุน 6
: 1 นอกจากการเพิ่มทุนแล้ว ปตท.สผ. ยังกู้เงินมาทำโครงการใหม่ๆ ที่ผ่านมาการกู้เงินแล้ว
2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นโปรเจ็คไฟแนนซ์มูลค่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอินดัสเตรียลแบงก์ออฟเจแปน
(IBJ) เพื่อมาทำโครงการบงกชเป็นเงินกู้ประเภท NON-RECOURSE และอัตราดอกเบี้ย
LIBOR+.5
ครั้งที่สองเป็นการกู้เงินระยะสั้น 3 ปี ไม่ต้องมีค้ำประกัน จากซันวาแบงก์และไอบีเจ
เป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"ทั้งสองกรณีไม่มีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะกู้เป็นดอลลาร์หมดสัมพันธ์กับราคาขายก๊าซซึ่งได้เป็นบาท
นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากบงกชและบี 12/27 ที่จะเข้ามามกราคมปีหน้า ส่วน
JDA นั้นคงจะมีรายได้เข้ามาหลัง 2543" วิเศษ ผู้ว่า ปตท.สผ. คนที่สองกล่าว
"JDA" (JOINT DEVELOPMENT AREA) ที่เขาพูดถึงคือ พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียในทะเล
ธุรกิจของ ปตท.สผ. เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
ดังนั้นบุคลากรต้องมีคุณภาพ ปัจจุบันขนาดพนักงาน 240 คน จำนวนระดับเทคนิเชียนมีไม่มากนัก
มีจำนวนเด็กรุ่นใหม่มากขึ้น วิเศษกล่าวว่าเขาต้องการทำอย่างมืออาชีพ ในแง่ของบริษัท
แม้จะมีชื่อและรูปร่างหน้าตาคล้ายรัฐวิสาหกิจอยู่
วิเศษ กล่าวว่า ในด้านการวิจัยและพัฒนา บริษัทได้ทำการวิจัยและพัฒนา ในรูปแบบข้อมูลและศักยภาพทางธรณีวิทยาในแต่ละแหล่งผลิตที่เห็นว่าน่าสนใจ
โดยรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการตัดสินใจเข้าลงทุนในแต่ละแหล่ง
ซึ่งในการวิเคราะห์วิจัยและพัฒนาข้อมูลดังกล่าว บริษัทต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ค่อนข้างสูง
ในช่วงปี 2534-36 บริษัทได้ลงทุนในรูปของอุปกรณ์และบุคลากร คิดเป็นเงินประมาณ
88.5 ล้านบาท
"เรื่องคนนั้นเราเน้นมาก เราได้โอนย้ายคนเข้าไปช่วยประมาณ 20 กว่าคนในโทเทลมาปีกว่าแล้ว
นอกจากนี้ยังมี ON THE JOB TRAINING ในบริษัทร่วมทุนอื่นๆ อีก เช่น เชลล์
เอสโซ่ รวมทั้งบริษัทรับเหมาที่เข้ามาทำการขุดเจาะ รวมไปถึงการอบรมภายในองค์กร
สิ่งที่เราทำควบคู่กันไปคือการไปรับสมัครนักศึกษาที่ใกล้จบทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบันอัตราการลาออกของพนักงานยังนับว่าไม่มากนัก คือประมาณ 2-2.5% ส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีอายุงาน
1-2 ปี และขอลาไปศึกษาต่อมากกว่าจะย้ายงาน" วิเศษกล่าว
การพัฒนาธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากรดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมบริษัท
สำหรับการรับมอบการดำเนินงานโครงการบงกชต่อจากโทเทลในปี 2541 ซึ่งจะเป็นการดำเนินโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติในทะเลโครงการแรกของ
ปตท.สผ. ที่มีความซับซ้อนมากกว่าโครงการอื่นๆ การก้าวไปสู่การเป็นผู้ดำเนินโครงการบงกช
จะเป็นบทพิสูจน์ที่ดีถึงความเป็นบริษัทมืออาชีพ ที่มีความสามารถทัดเทียมกับบริษัทสำรวจและผลิตนานาชาติของ
ปตท.สผ. ความสามารถในการแข่งขัน : ฐานสินทรัพย์ที่แน่นหนา
นอกจากความพร้อมที่ ปตท.สผ. ในฐานะบริษัทของรัฐได้พัฒนาจนมีศักยภาพอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว
ปตท.สผ. ยังมีศักยภาพในการแข่งขันด้านอื่นๆ อีกด้วยโดยเฉพาะเรื่องสินทรัพย์ที่แม้จะเพิ่งเริ่มต้นแต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ไปได้ดี
"เราค่อนข้างได้เปรียบในภูมิภาคนี้ เพราะมีพันธมิตรที่ดี เราใกล้ชิดกับบริษัทมาเลย์และเวียดนามในแง่ปฏิบัติการและนโยบาย
นอกจากนี้ ธุรกิจนี้ใครหาแหล่งน้ำมันได้จะเป็นสินทรัพย์สำคัญ เป็นผลดีต่อบริษัทในระยะยาว
ซึ่งขณะนี้ ปตท.สผ. มีแล้ว คือแหล่งเมาะตะมะและ JDA"
และถ้าพิจารณาจากปริมาณสำรองปิโตรเลียมหลังจากตัวเลขกลางปีนี้ผ่านไป (เปรียบเทียบกับตาราง)
ปตท.สผ. แม้จะยังอยู่ในอันดับ 2 แต่มีสัดส่วนที่มากขึ้น คือเป็น 23% เช่นเดียวกับโทเทลที่ขยับจากอันดับ
4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 3
ขณะเดียวกัน แหล่งบงกชสามารถเร่งรัดการผลิตและนำก๊าซมาใช้ประโยชน์เป็น 350
ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันภายในปลายปี 2538 ซึ่งเร็วขึ้น 3 ปี จากสัญญาเดิมที่เคยกำหนดไว้ในเดือนตุลาคม
2541
"ช่วงปี 2000 เราจะเน้นโตในภูมิภาค ส่วนจะมองไปยังภูมิภาคอื่นหรือไม่เราไม่เกี่ยง
แต่ขณะนี้เป้าอยู่ที่นี่ ความคุ้มค่าในการลงทุนที่นี่มีมากกว่าและเรามีจุดแข็งด้านการตลาด
คือ ความต้องการมีสูงและไทยเป็นคนรับซื้อรายใหญ่เองด้วย ในแง่การร่วมทุนเราก็เป็นที่สนใจของบริษัทน้ำมันต่างชาติ"
กรรมการผู้จัดการ ปตท.สผ. กล่าวอย่างมั่นใจในอนาคตของบริษัท
ปตท.สผ. มีกองทุนสำรวจแหล่งปิโตรเลียมเพื่อที่จะแสวงหาสินทรัพย์ใหม่ๆ เพราะแม้จะมีแหล่งพลังงานที่จะพัฒนาขึ้นมาใช้ได้เพียงพอ
แต่วิเศษกล่าวว่านั่นเป็นเพียงสำหรับทศวรรษกว่าๆ เท่านั้น
มีการคาดการณ์กันว่าในอีก 3 ทศวรรษหน้าความต้องการใช้พำลังงานของประเทศจะมีมากกว่าปัจจุบันถึง
2 เท่า โดยได้คาดการณ์กันว่าประเทศไทยต้องมีการนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ในช่วงปี
2533-2542 62% ช่วงปี 2543-2552 80% และช่วงปี 2553-2562 90% ของปริมาณความต้องการใช้ปิโตรเลียมทั้งหมด
ดังนั้นอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจึงทวีความสำคัญมากขึ้น เพื่อรองรับปริมาณความต้องการดังกล่าวและสามารถทดแทนการนำเข้าได้บางส่วน
โครงการอนาคตที่มีศักยภาพใกล้เป็นจริง ได้แก่
โครงการพัฒนาแหล่งก๊าซเมาะตะมะ ที่พม่าเชิญชวน ปตท.สผ. ส่งข้อเสนอในการพัฒนาแปลงสำรวจ
M-5 และ M-6 เพื่อผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว ทาง ปตท.สผ. ได้วางแผนจะวางท่อก๊าซมาใช้เป็นเชื่อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าในไทย
จึงได้ยื่นข้อเสนอเป็นแกนนำลงทุนเมื่อเดือนธันวาคม 2533 และเจรจาของสิทธิร่วมทุนในโครงการไม่เกิน
30% โดยให้ ปตท.สผ. อินเตอร์ฯ เป็นผู้ร่วมทุน
2 ปีต่อมา พม่าเลือกบริษัทโทเทลเป็นผู้เข้ารับสัมปทานและเป็นผู้ดำเนินโครงการ
(ถือ 52.5%) และต่อมาได้ยูโนแคลเป็นผู้ร่วมทุนเพิ่มในโครงการ (ถือหุ้น 47.5%)
โทเทลได้เจาะหลุมประเมินผล 4 หลุม ปัจจุบัน ปตท.กำลังเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซและ
ปตท.สผ. เจรจา สัญญาซื้อขายก๊าซและ ปตท.สผ. เจรจาสัญญาร่วมทุนของโครงการ
คาดว่าจะทำการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2541
ปตท.สผ. จะดำเนินการสร้างแท่นขุดเจาะ วางท่อจากแท่นผลิตมายังชายแดนไทยฝ่าย
ปตท.จะลงทุนส่วนที่อยู่ในไทย ซึ่งขณะนี้ประเมินว่ามีปริมาณก๊าซสำรอง 5.7
ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งถือว่ามีปริมาณมากเทียบกับยูโนแคลที่ผลิตมา 13 ปี
รวมกัน 3 สัญญามีปริมาณสำรองที่ 2 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเท่านั้น
วิเศษยังได้กล่าวยืนยันว่าเรื่องชนกลุ่มน้อยในพม่านั้นไม่น่ามีปัญหามาก
เพราะระยะทางที่จะวางท่อผ่านบ้องตี้ เหมืองปิล็อกเพียง 60-80 กม. "โครงการนี้จะมีผลกระทบต่อรัฐบาลพม่ามหาศาลเพราะจะก่อให้เกิด
ECONOMIC TAKE-OFF จากเงินตราต่างประเทศที่ได้ ดังนั้นรัฐบาลเขาจึงรับประกันความปลอดภัยเท่าที่จะทำได้
อีกอย่างเส้นทางวางท่อไม่ค่อยผ่านย่านอยู่อาศัยแต่เป็นช่องเขามากกว่า"
พื้นที่คาบเกี่ยวไทย-เวียดนาม ขนาดพื้นที่ 6,405 ตร.กม. มีศักยภาพของก๊าซธรรมชาติสูงเนื่องจากอยู่ติดกับแหล่งบงกช
ทางรัฐบาลทั้งสองประเทศเพิ่งจะกำหนดไหล่ทวีป ในระหว่างที่รอแนวทางจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง
อย่างกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรม ปตท.สผ. และปิโตรเวียดนามได้ร่วมกันจัดตั้ง
JOINT TECHNICAL COMMITTEE ศึกษาศักยภาพปิโตรเลียมในทะเลในบริเวณที่จะร่วมกันพัฒนาในอนาคต
บริษัทน้ำมันต่างชาติหลายรายก็สนใจที่จะร่วมลงทุนสำรวจและพัฒนา
"ถ้าพัฒนาได้ เราอาจจะต่อท่อเข้ามาขายยังไทย เพราะเวียดนามต้องการเงินตราต่างประเทศมากกว่าที่จะนำไปใช้เอง
ซึ่งราคาปากบ่อจะขายได้สูงกว่า"
วิเศษปรารถนาที่จะเห็นการดำเนินโครงการพื้นที่นี้ตามรอบ JDA เป็นอย่างยิ่ง
เพราะโครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นโครงการใหญ่ที่ดำเนินการระดับรัฐบาลร่วมกับรัฐบาล
แต่ยังนับเป็นเรือธงของ ปตท.สผ. ที่ขยายธุรกิจไปสู่ภูมิภาค มหาธีร์ โมฮัมหมัด
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเองยังถึงกับกล่าวว่าโครงการนี้ถือเป็นกรณีแรกในโลกก็ว่าได้
ที่ประเทศคู่กรณีสามารถแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่คาบเกี่ยวได้
โครงการ B 6/27 อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับไทยเชลล์ในแหล่งน้ำมันดิบนางนวลนอกชายฝั่ง
จ.ชุมพร โครงการนี้ ปตท.สผ. ถือหุ้น 25%
สัมปทานในประทศรายใหม่ (THAILAND III) รัฐบาลได้ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้โดย
พ.ร.บ. ปิโตรเลียมฉบับที่ 4 2532 ได้จูงใจบริษัทสำรวจและขุดเจาะน้ำมันโดยการลดการเสี่ยงของการลงทุน
ด้วยการกำหนดอัตราค่าภาคหลวงเป็นขั้นบันได 5-15% ซึ่งลดลงจากเดิมอัตราคงที่
12.5% นอกจากนี้ทางกรมทรัพยากรธรณียังได้ประกาศเขตสัมปทานปิโตรเลียม เปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นมาอีก
104 แปลง เป็นเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 438,000 ตร. กม. และเมื่อปี 2534 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกสัมปทานให้แก่บริษัทน้ำมันเอกชนจำนวน
12 สัมปทาน รวม 21 แปลงสำรวจทั้งบนบกและในทะเล ในจำนวนสัมปทานข้างต้น ปตท.สผ.
ได้รับสิทธิเข้าร่วมทุนโดยตรง 15-20% จาก 4 สัมปทาน รวม 8 แปลง ปัจจุบันสัมปทานดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างโครงการสำรวจช่วงปีสุดท้าย
ส่วนแหล่งในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ที่กัมพูชามีแปลงสัมปทานในทะเล 7 แปลง
ส่วนใหญ่ผู้ถือสิทธิเป็นญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย วิเศษกล่าวว่ามีแปลงว่างๆ
อยู่แต่ไม่ดีนักจึงยังไม่รีบร้อนให้ความสนใจนัก
แหล่งทางด้านลาวนั้นมีฮันท์ออยล์และเอ็นเตอร์ไพรซ์ตลอดจนยูโนแคล โทเทล เชลล์เข้าไปสำรวจอยู่
แต่เนื่องจากเป็นลุ่มแอ่งโคราชด้วยกัน เมื่อทางไทยไม่พบมากนัก บริษัทต่างๆ
จึงคิดว่าไม่น่าจะมีศักยภาพทางลาวมากนักเช่นกัน
อินโดนีเซียเป็นอีกจุดที่น่าสนใจเพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ
แต่ทางไทยยังไม่ค่อยได้เข้าไปสัมพันธ์ด้วยเท่าไหร่ ที่นั่นมีคาลเท็กซ์เข้าไปทำก๊าซธรรมชาติเหลว
และมีโทเทลเข้าไปแล้ว แหล่งส่วนใหญ่อยู่ทางสุมาตรา ซึ่งวิเศษบอกว่าอาจจะร่วมกับทางเพอร์ทามิน่า
ซึ่งเป็นองค์กรด้านปิโตรเลียมของรัฐบาลอินโดนีเซียในการสำรวจและผลิต
เปรียบมวยเสมอชั้น
คู่เปรียบเทียบที่น่าจะเห็นภาพชัดน่าจะได้แก่บริษัทน้ำมันแห่งชาติของมาเลเซีย
แม้ว่าในฐานะหนึ่งแล้วต้องจับมือกันเป็น CONSORTIUM พัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในภูมิภาคนี้ร่วมกับบริษัทน้ำมันต่างชาติ
แต่ในอีกสถานะหนึ่งต่างก็ต้องแข่งขันกันหาสินทรัพย์ด้วยเช่นกัน ศักยภาพของ
ปตท.สผ. เมื่อเทียบกับบริษัทเพื่อนบ้านแล้วยังด้อยกว่า เพราะบริษัทแม่คือ
ปิโตรนาสนั้นเป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรนั้นๆ ไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใดอีก
ผิดกับ ปตท.สผ. ที่ต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรธรณีในกรณีพื้นที่บนบกในประเทศ
หรือต้องขออนุมัติรัฐบาลในโครงการสัมปทานใหญ่ๆ นอกจากนี้แหล่งน้ำมันและแก๊สซึ่งถือเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตนั้น
ปตท.สผ. ไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว แต่เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทต่างชาติ
เพราะเพิ่งจะพัฒนาศักยภาพด้านทุนและเทคโนโลยีขึ้นมาไม่นานมานี้ ขณะเดียวกันพื้นที่ที่มีศักยภาพพอจะเป็นแหล่งสินทรัพย์
ก็ยังต้องรอการเจรจาระดับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก อาทิเช่น แหล่งคาบเกี่ยวเวียดนาม
และแหล่งสัมปทานในกัมพูชา ซึ่งมีบริษัทต่างชาติเข้าไปสำรวจและพัฒนาอยู่บ้าง
ขณะที่ปิโตรนาสนั้นมีความคืบหน้าและศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลและกฎหมาย
จึงสามารถบุกเข้าไปลุยในประเทศอินโดจีนได้
ล่าสุด ปิโตรนาสคาริกาลีขุดเจาะบ่อน้ำมันในทะเลที่ชื่อ RUBY PROSPECT อยู่ห่างจากหวุงเต่าทางตอนใต้ของเวียดนาม
155 กม. แหล่งนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแหล่งบัคโฮหรือเสือขาวที่มีศักยภาพสูงสุดในตอนนี้
ทางผู้บริหารปิโตรนาสเองก็เชื่อว่าแหล่งนี้จะสามารถผลิตน้ำมันได้ใกล้เคียงกับที่บริษัทร่วมทุน
ญี่ปุ่น-เวียดนามที่เข้ามาขุดเจาะวันละ 10,000-15,000 บาร์เรล
ศักยภาพทางตอนใต้ของเวียดนามนั้น ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีศักยภาพสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากที่สุด
การค้นพบของมิตซูบิชิและปิโตรนาสในบริเวณบัคโฮและรง (มังกร) แสดงว่าบริเวณแถบนี้เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากปิโตรนาสซึ่งมีสถานะและศักดิ์ศรีเทียบได้กับ ปตท.(และออกจะเหนือชั้นกว่า
ปตท.) จะมีบริษัทลูกที่ทำหน้าที่ในการสำรวจและผลิตก่อนของไทยแล้ว ยังมีบริษัทลูกที่ทำหน้าที่เฉพาะด้านการตลาดและจัดจำหน่ายอีกด้วยคือบริษัท
PETRONAS DAGANGAN ซึ่งเพิ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นมาเลย์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยมีบริษัทแม่ปิโตรนาสถือหุ้นอยู่เพียง 8% ส่วนปิโตรนาสคาริกาลีซึ่งทำหน้าที่สำรวจและผลิตนั้น
ตั้งมาก่อนหน้า ปตท.สผ. ถึง 7-8 ปี
อย่างไรก็ตามในด้านการตลาดนั้น ปตท.สผ. ไม่มีปัญหา เพราะความต้องการใช้ในประเทศมากเมื่อเทียบกับความสามารถที่จะผลิตได้
ก๊าซธรรมชาตินำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งมีอัตราความต้องการเพิ่มขึ้น
10% ต่อปี และเป็นการตกลงซื้อขายระยะยาว ซึ่งจะกำหนดวิธีการกำหนดสูตรราคาซื้อขายที่แน่นอนและปริมาณก๊าซที่ส่งมอบด้วย
ทำให้ ปตท.สผ. สามารถควบคุมปริมาณการจำหน่ายได้ และเพราะ ปตท.ซึ่งเป็นผู้รับซื้อก๊าซธรรมชาติที่ผลิตในประเทศแต่เพียงผู้เดียว
ได้ลงทุนวางท่อเป็นเงินจำนวนมาก จึงมีบทบาทสูงในการกำหนดปริมาณการรับซื้อ
ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ก๊าซและความสามารถในการขนส่งก๊าซผ่านท่อ ณ ระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ
ปตท.สผ. เมื่อเป็น "ลูกในไส้" ของ ปตท.จึงได้เปรียบกว่าในการต่อรองเรื่องปริมาณการซื้อขายก๊าซที่จะต้องส่งผ่านท่อได้
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้มีความเสี่ยงสูง ในแง่ ปตท.สผ. จึงได้หาทางลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดด้วยหลักการดังนี้
1. กระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยการเลือกเข้าร่วมทุนในหลายโครงการ โครงการใดให้ผลตอบแทนมากและมีความเสี่ยงน้อย
จะถือหุ้นมากเป็นต้น
2. ร่วมทุนกับบริษัทน้ำมันชั้นนำของโลก เช่น ไทยเชลล์ เอสโซ่ ยูโนแคล และโทเทล
เพื่อลดความเสี่ยงในปัญหาทางเทคนิคและปัญหาด้านการเงินของบริษัทร่วมทุนเป็นสำคัญ
"อย่างในปี 2541 ที่เราจะเข้าดำเนินโครงการบงกช ก็ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงของโครงการมากไปกว่าเดิม
เพราะผู้ถือหุ้นโทเทลยังคงความช่วยเหลือทางเทคนิคที่ ปตท.สผ. ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอเช่น
R&D และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา เป็นต้น" วิเศษกล่าว
3. โครงการร่วมทุนในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นโครงการในประเทศ และการที่ ปตท.สผ.
เป็นตัวแทนของรัฐในการดำเนินธุรกิจปิโตรเลียมจึงมีความมั่นคง และมีข้อได้เปรียบในด้านการติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
หลายครั้งที่ผ่านมา รัฐก็ให้ข้อเสนอ ปตท.สผ. ในการร่วมลงทุนได้เมื่อสำรวจพบปิโตรเลียมแล้ว
ในเรื่องของสิทธิการเข้าร่วมทุนในโครงการใหม่ๆ ที่รัฐเปิดให้สัมปทานนั้น
ในอนาคต ยังมีปัญหาอยู่ว่า รัฐมิได้ระบุสิทธิในการร่วมทุนดังกล่าวเฉพาะกับ
ปตท.สผ. ซึ่งหมายความว่าอาจมีการจัดตั้งวิสาหกิจแห่งใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นกลไกรัฐในการเข้าร่วมทุนสำรวจและผลิตเช่นเดียวกับ
ปตท.สผ. ย่อมได้
ในเรื่องของการกู้เงินจากต่างประเทศ แม้ว่า ปตท.สผ. จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลให้มีการบริหารงานในรูปแบบเอกชนทั่วไป
แต่การที่จะใช้เงินทุนจากต่างประเทศนั้น ยังต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม.
ก่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการจัดหาแหล่งทุนเพื่อใช้ในกิจการได้
แต่เมื่อพิจารณาในอีกแง่หนึ่ง เท่ากับการกู้เงินจากต่างประเทศของ ปตท.สผ.
เปรียบเสมือนการกู้จากรัฐบาล คือ มักได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าการกู้เงินโดยเอกชน
ไม่ว่าจะเป็นการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าหรือกำหนดระยะเวลาการใช้คืนที่ยาวนานกว่า
นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังได้รับการยกเว้นภาษี ดอกเบี้ยหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินกู้ต่างประเทศ
ข้อจำกัดประการหนึ่งของ ปตท.สผ. คือ การถือครองแปลงสัมปทานตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียมได้ไม่เกิน
5 แปลง ซึ่งปัจจุบันมีครบแล้ว บอร์ด ปตท.สผ. ก็ได้ช่วยแก้ปัญหา โดยการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาได้ในกรณีที่ต้องการยื่นขอสัมปทานใหม่
ซึ่งบริษัทย่อยนี้จะมีสิทธิถือสัมปทานได้อีก 5 แปลง ปัจจุบัน ปตท.สผ. อินเตอร์ฯ
ถือสัมปทานแล้ว 2 แปลง (PTTEP 1 และ B-14)
นี่คือโฉมหน้าของบริษัทสองร่างที่อยู่ใต้การสนับสนุนของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเอกชนได้
ในทศวรรษใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของ ปตท.สผ. โชคและการรอคอยการสนับสนุนจากรัฐเพียงอย่างเดียว
คงไม่ได้ช่วยให้สถานภาพของการแข่งขันทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ดีขึ้นเพียงอย่างเดียว
แต่การพัฒนาองค์กรและบุคลากรที่ผู้บริหาร ปตท.สผ. กล่าวอ้างนั้นต่างหาก ที่จะพิสูจน์ว่าบริษัทมีประสิทธิภาพที่จะยืนบนขาของตัวเอง
เป็นบริษัทชั้นนำได้จริงแท้แค่ไหน