|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ มกราคม 2548
|
|
สวัสดีปีใหม่ค่ะ เมื่อ 2 เดือนก่อนสิ้นปีลิง ผู้เขียนได้ชมรายการ Frontline ของสถานีโทรทัศน์ PBS (Public Broadcast Services) ได้เสนอประเด็นเรื่อง Is Wal-Mart good for America? นับว่าน่าสนใจมาก ประกอบกับกระแสต่อต้าน Wal-Mart ในอเมริกาที่มีมากขึ้น... จึงเก็บเรื่องราวและรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าให้ผู้อ่านได้รับรู้อีกแง่มุมหนึ่งของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลกรายนี้...
Wal-Mart หรือ "Big Box Retailer" ติดอันดับร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มียอดขายกว่า 256 พันล้านเหรียญ ในปีที่ผ่านมา และมีรายได้สุทธิกว่า 9 พันล้านเหรียญ มีลูกค้าประมาณ 100 ล้านคนต่อสัปดาห์เข้ามาจับจ่ายใน Wal-Mart ที่มีอยู่ 3,400 สาขา ทั่วอเมริกา ทั้งยังขยายสาขาเพิ่มอีกหลายร้อยแห่งทั่วประเทศและทั่วโลก รวมพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 4,500 ล้าน ตารางเมตร พร้อมจ้างพนักงานกว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลก แบ่งเป็น 1.2 ล้านคนในอเมริกา และอีกกว่าสามแสนคน ในสาขาต่างประเทศ โดยทุกๆ ปี Wal-Mart ประมาณการการจ้างงานเพิ่มปีละ 600,000 ตำแหน่ง ค่าแรงของ พนักงาน Wal-Mart ในอเมริกาเฉลี่ยประมาณชั่วโมงละ 10 เหรียญ ตามเมืองใหญ่ๆ อย่างชิคาโก ซานฟรานซิสโก ได้เฉลี่ยประมาณชั่วโมงละ 11 เหรียญ... เป็นองค์กรที่มีทั้งคนรักและมากคนชัง...
หลายคนที่ชื่นชม Wal-Mart และต้องการให้มี Wal-Mart ในชุมชนของตน ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า Wal-Mart เป็น "one-stop shopping" ที่สร้างความสะดวกสบายในการจับจ่ายของอุปโภคบริโภคได้ทุกรายการ และที่สำคัญคือราคาถูก Wal-Mart เป็นองค์กร ยักษ์ใหญ่ที่ช่วยสร้างงานให้แก่คนในอเมริกาและต่างประเทศ พร้อมยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนระดับล่าง ให้มีรายได้ มีงานทำ และสามารถซื้อของได้ ในราคาถูกตามสโลแกน "We sell for less!" นอกจากนี้ Wal-Mart ยังสร้างรายได้ให้แก่เมืองและรัฐนั้นจาก Sale Tax รวมทั้งยังช่วยพัฒนาระบบการจราจรในชุมชน นั้นๆ อีกด้วย...แต่มีอีกหลายคนที่ไม่ชอบ และบางคนถึงขั้นเกลียด Wal-Mart พยายามประท้วงทุกวิถีทางเพื่อขับไล่ Wal-Mart ออกไปจากชุมชนของตน มีการตั้ง หน่วยงานองค์กร Wal-MartWatch เพื่อจับตาพฤติกรรม อันไม่ชอบธรรมที่ Wal-Mart กระทำต่อลูกจ้างพนักงาน หรือลูกค้า...
สำหรับผู้ที่ไม่ชอบ Wal-Mart ให้เหตุผลดังนี้
1. รายได้ของ Wal-Mart ไม่ได้ช่วยสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่น เม็ดเงินทั้งหลายไหลสู่ Arkansas ซึ่งเป็นบ้านเกิดและสำนักงานใหญ่ของ Wal-Mart
2. สำหรับเม็ดเงินบางส่วน Wal-Mart เจียดมาเพื่อเป็นการสร้างถนนไปสู่ทางเข้า... เป็นการทำลายเอกลักษณ์และเสน่ห์ของเมืองที่สั่งสมมาอันหาค่าไม่ได้
3. การตัดราคาสินค้าของ Wal-Mart เป็นการทำลายธุรกิจท้องถิ่น ทำให้ร้านค้าปลีกท้องถิ่นต้องปิด ตัวลง ไม่สามารถสู้สงครามราคาได้ เช่น เมือง DeKalb ที่ผู้เขียนย้ายเข้ามาเมื่อ 4 ปีก่อน ขณะนั้นยังไม่มี Wal-Mart มีเพียงร้านค้าปลีกท้องถิ่นเล็กๆ 2 ร้านคือ Eagle Food Centers ที่มีอยู่ 2 สาขา และ Jewel Osco 1 สาขา ต่อมาเมื่อ Super Wal-Mart ขนาด 10,800 ตารางเมตร เข้ามาปักหลักทำธุรกิจ... ปีที่แล้ว Eagle ประกาศล้มละลาย ขายกิจการทุกสาขาทั่วประเทศ เพราะไม่สามารถแบกภาระต้นทุนและหนี้สินที่มีอยู่ได้อีกต่อไป เหลือเพียง Jewel Osco เพียงสาขาเดียวที่คงเหลืออยู่ โดยได้ลูกค้าผู้ภักดีส่วนใหญ่ ที่ไม่อยากใช้บริการ Wal-Mart และไม่มีทางเลือกอื่น จะว่าไปแล้ว สินค้าที่ Jewel ราคาสูงกว่า Wal-Mart และคุณภาพไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร...
4. สูตรแห่งความสำเร็จของ Sam Walton ผู้ก่อตั้ง Wal-Mart ผู้ใช้กลยุทธ์ซื้อมาในราคาต่ำ ขายไปในราคาถูก และ ทำกำไรจากปริมาณการขายที่ขายออกอย่างรวดเร็ว กว่าคู่แข่งรายอื่น...เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมการค้าปลีก ซึ่งนำไปสู่ "Culture of Inferiority" หรือวัฒนธรรมการจับจ่ายสินค้าที่มีราคาต่ำ คุณภาพต่ำ จนกลายเป็นความเคยชิน รวมไปถึงอัตราการจ้างงานที่ต่ำ และความเป็นธรรมในการจ้างงาน เนื่องจาก Wal-Mart ไม่อนุญาตให้มี Union หรือองค์กรแรงงาน เพื่อปกป้อง ผู้ใช้แรงงานเหมือน Retailer รายอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้จะเรียกว่า Wal-Mart ช่วยยกมาตรฐานการดำรงชีพของคนได้อย่างไร...
เมื่อ 2 ปีก่อน Maquila Solidarity Network เป็นองค์กรพิทักษ์สิทธิและช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานและสตรีของแคนาดา ได้มอบรางวัล "Sweatshop Retailer of the Year" ให้แก่ Wal-Mart ในฐานะผู้กดขี่แรงงาน อันดับต้นๆ ของโลก จากรายงานของนิตยสาร Forbes ระบุว่า ประเทศพม่าได้เป็นประเทศที่เสนอค่าแรงที่ต่ำที่สุดในการผลิตสินค้าให้ Wal-Mart คือประมาณ 4 เซ็นต์ต่อชั่วโมง ประเทศนิการากัวได้ประมาณ 29 เซ็นต์ต่อชั่วโมง ในขณะที่ประเทศในแอฟริกาอย่าง Malawi และ Lesotho ได้ค่าจ้างประมาณ 14 เหรียญ ต่อเดือน นอกจากนั้นในอเมริกาพบว่า พนักงาน Wal-Mart ในจำนวน 21 รัฐ เป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยได้รับค่าจ้างที่ต่ำและไม่ได้ Benifit ใดๆ เลย แม้แต่ลูกจ้างบางคนที่ถูกกฎหมาย แต่ยังไม่สามารถมีประกันสุขภาพได้ เพราะ Wal-Mart แทนที่จะให้เป็น Benefit แก่พนักงานแบบให้เปล่า แต่พนักงานต้องซื้อจากบริษัท ซึ่งถึงแม้จะเป็นราคาต่ำ แต่รายได้ก็ต่ำเกินกว่าจะสามารถซื้อได้...
นอกจากนี้ลองพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้ที่ Frontline นำเสนอ อาจพอหาคำตอบเพิ่มได้บ้างว่า ทำไมอเมริกัน บางคนถึงเกลียด Wal-Mart และเหตุใด Wal-Mart ยังคงความเป็นยักษ์ใหญ่อยู่ได้...
ในอดีต เมื่อ 43 ปีก่อน Sam Walton ผู้ก่อตั้ง Wal-Mart รุ่นพ่อ พยายามอยู่ห่างการเมืองให้มากที่สุด ใส่ใจเพียงแค่ลูกค้าเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงรุ่นลูก สถาน การณ์เปลี่ยนไป บริษัทเติบโตจนกลายมาเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และต้องเข้าไปมีส่วนในการเมือง เพื่อรักษาความเป็นใหญ่และดำเนินกิจการได้ตามสะดวก... ในปี ค.ศ.1998 Wal-Mart จ้าง Lobbyist คนแรกคือ Lt.Gen. Norm Lezy และก่อตั้ง Political Action Committee (PAC) ขึ้น เพื่อเจรจาต่อรองกับรัฐบาล และในปัจจุบัน Wal-Mart จ้างบริษัท Lobbyist ถึง 6 บริษัทด้วยกัน และกลายเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินระดับ ต้นๆ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยบริจาคทั้งสิ้น 1,606,000 ล้านเหรียญ ในจำนวนนี้ 78% เข้าตรงสู่พรรครีพับลิกันในขณะที่เพียงแค่ 22% ให้แก่แดโมแครต...
|
|
|
|
|