|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บ้านปูทุ่มเงินลงทุนปีหน้าอีก 1.8 พันล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรในเหมืองคิทาดินและอินโดมินโก รวมทั้งลงทุนเหมืองถ่านหินในจีน ยืนยันไม่ลดหุ้นในโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เนื่องจากเป็นตัวสร้างกระแสเงินสดในอนาคตในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดปีหน้าราคาถ่านหินทรงตัวในระดับสูงเฉลี่ย 45 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บ้านปูมีแผนลงทุนต่อเนื่องในปี 2548 ประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรในเหมือง คิทาดินและอินโดมินโค ใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท โดยเหมืองอินโดมินโคจะมีการขยายท่าเรือเพื่อรองรับปริมาณ ถ่านหินและส่งมอบลงเรือใหญ่ได้สะดวกขึ้น และลงทุนเหมืองถ่านหินในประเทศจีนประมาณ 20 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือประมาณ 800 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนในไทยนั้น บริษัทจะใช้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในโครงการโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โดยบ้านปูยังไม่ต้องใส่เงินทุนไปในช่วงปี 2548 ซึ่งขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีขนาด 1,434 เมกะวัตต์ คืบหน้าไปแล้ว 20% และบริษัทไม่มีนโยบายที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 50% เนื่องจากโรงไฟฟ้าจะเป็นตัวสร้างกระแสเงินสดให้กับบ้านปูภายหลังโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จในปี 2549 อีกทั้งบริษัทต้องการรักษาการลงทุนในประเทศไทย หลังจากเหมืองถ่านหินในไทยจะทยอยปิดเหมืองในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ขณะที่โครงการลงทุนในเหมืองทรูบาอินโด ประเทศอินโดนีเซียนั้น บริษัทได้ตั้งแพกเกจการลงทุนรวม 94 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีการทยอยลงทุนต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี โดยปี 2548 จะลงทุนต่อเนื่องจากปีนี้
นายชนินท์กล่าวถึงความคืบหน้าในการหาแหล่งถ่านหินเพิ่มเติมในจีนว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาหลายโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี 2548 ส่วนเหมืองถ่านหินต้าหนิงในจีน ซึ่งบ้านปูถือหุ้นผ่านAACI ประมาณ 21% คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ประมาณกลางปีหน้าประมาณ 4-5 ล้านตัน ซึ่งสามารถผลิตได้เต็มที่ทันทีเนื่องจากเป็นเหมืองปิด
ในปี 2548 คาดว่าบ้านปูจะผลิตถ่านหินได้ 18.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มีกำลังการผลิตถ่านหิน 15.5 ล้านตัน โดยเป็นการผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซีย 15.5 ล้านตัน และเหมืองถ่านหินในไทย 3 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณสำรองถ่านหินในปีนี้อยู่ที่ 156 ล้านตัน
จากปริมาณถ่านหินที่ผลิตเพิ่มขึ้นอีก 3 ล้านตัน รวมกับราคาขายถ่านหินล่วงหน้าเฉลี่ยที่ 33 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีราคาขายเฉลี่ย 25 เหรียญสหรัฐต่อตัน ทำให้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีหน้าจะเติบโตขึ้น 50% หรือประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีนี้ที่มีรายได้ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท
นายระวิ คอศิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาถ่านหินในตลาดโลกปีหน้าจะยังทรงตัว อยู่ในระดับสูงแต่จะต่ำกว่าปีนี้ คาดว่าจะมีราคาตลาดจร (SPOT) เฉลี่ยอยู่ที่ 45 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปี 2547 ราคาถ่านหินเคยปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากจีนยังต้องการใช้ถ่านหินในปริมาณที่สูงอยู่
ขณะที่ผู้ผลิตในภูมิภาคเอเชียทั้งออสเตรเลียและอินโดนีเซียยังเพิ่มกำลังการผลิตได้ไม่มาก รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกคาดว่าจะยังทรงตัว อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้หันมาเลือกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแทน คาดว่าความต้องการใช้ถ่านหินในภูมิภาคนี้ (ไม่รวมจีน)จะขยายตัวไม่มากอยู่ที่ 4-5% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง
ปัจจุบันบ้านปูเป็นผู้ผลิตถ่านหิน รายใหญ่อันดับ 4 ของประเทศอินโดนีเซีย โดยบริษัทไม่มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่กว่านี้ในอินโดนีเซียแต่พยายามที่จะผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งถ่านหินที่ผลิตได้จะส่งออกไปเป็นเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เกาหลี มาเลเซียและอีกหลายประเทศในแถบยุโรป
|
|
|
|
|