Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน23 ธันวาคม 2547
ธปท.รับมือศก.สหรัฐฯ พร้อมปล่อยดอกเบี้ยขึ้นได้อีก 3 ปี             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
Interest Rate




"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" เผยแบงก์ชาติเตรียมพร้อมมาตรการ รับมือปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อไทย ยันฐานะการคลังยังแกร่ง ทุนสำรองทางการกว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยยังมีเวลาปล่อยให้ขึ้นได้อีกภายใน 3 ปี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยวิธีดอกเบี้ยต่ำไม่จำเป็นแล้ว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.ได้เตรียมมาตรการเพื่อรองรับความผันผวนทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่จะส่งผลกระทบต่อไทยไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจนอาจถึงขั้นเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงิน ทั้งนี้ฐานะทางการคลังของไทยเองมีความพร้อม โดยทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

"ยอมรับว่า ธปท.ได้เตรียมรองรับวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกา ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ยอมรับว่าเราได้เตรียมรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว และสถานะทางการคลังของไทยก็อยู่ในเกณฑ์ดี ตัวเลขเป็นบวก และจะบวกต่อไป ทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีไว้มากก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น" ผู้ว่าการธปท.กล่าว

สำหรับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยมีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับปกติ หากเปรียบเทียบกับค่าเงินหลักสกุลอื่นๆ ทั้งเงินเยนและเงินยูโร จะเห็นว่าไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก แต่ธปท. จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกได้ ซึ่งขณะนี้ถือว่าค่าเงินบาทของไทยยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ยังไม่เสียเปรียบในด้านการแข่งขัน

"ธปท.จะดำเนินนโยบายให้ผู้ค้าสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งได้ แต่ภาคการส่งออกของไทยในปี 2548 จะอยู่ที่ 10- 20% จะสูงไม่มากอย่างในปีที่ผ่านมาที่สูงถึง 20-22% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง"ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น การที่ ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นไม่ได้ขึ้นตามสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ ธปท.ได้ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้น แต่ในขณะนี้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่การฟื้นตัวชัดเจนแล้ว ดังนั้น ความจำเป็นที่จะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวจึงลดลง

อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 2547 ต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันแพง ปัญหาไข้หวัดนก ซึ่งหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวก็จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่านี้อีกมาก ทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว จะต้องกลับมาดูด้านต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ดอกเบี้ยต่ำ คือ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ที่แท้จริง

โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในขณะนี้ติดลบ 2.33% ทำให้การออมของไทยลดลงมาก จำเป็นต้องทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะสร้างการออม รองรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องดุลบัญชีเดินสะพัด จากปัจจุบันการออมของภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 4-5% เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังมีระยะเวลาที่จะปล่อยให้ดอกเบี้ยขยับขึ้นอีกภายในเวลา 3 ปี

"ธปท.คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลอยู่ ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะต้องไม่ขึ้นอย่างพรวดพราดจนกระตุกเศรษฐกิจ แต่ค่อยๆ ทยอยขึ้นเพื่อให้ตลาดสามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นคงไม่ขึ้นปีเดียว 2% เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ติดลบเลย"

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย วานนี้ (22 ธ.ค.) เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 39.03 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้านี้ และแข็งค่าขึ้น 5.07% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่หากเทียบกับค่าเงินยูโร สหภาพยุโรป ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.41% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.0.26%

ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.48% เมื่อเทียบกับวันก่อน หน้า และแข็งค่าขึ้น 3.31% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us