|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" เผยแบงก์ชาติเตรียมพร้อมมาตรการ รับมือปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อไทย ยันฐานะการคลังยังแกร่ง ทุนสำรองทางการกว่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยยังมีเวลาปล่อยให้ขึ้นได้อีกภายใน 3 ปี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยวิธีดอกเบี้ยต่ำไม่จำเป็นแล้ว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.ได้เตรียมมาตรการเพื่อรองรับความผันผวนทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่จะส่งผลกระทบต่อไทยไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจนอาจถึงขั้นเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทางการเงิน ทั้งนี้ฐานะทางการคลังของไทยเองมีความพร้อม โดยทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"ยอมรับว่า ธปท.ได้เตรียมรองรับวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกา ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ยอมรับว่าเราได้เตรียมรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว และสถานะทางการคลังของไทยก็อยู่ในเกณฑ์ดี ตัวเลขเป็นบวก และจะบวกต่อไป ทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีไว้มากก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น" ผู้ว่าการธปท.กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยมีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับปกติ หากเปรียบเทียบกับค่าเงินหลักสกุลอื่นๆ ทั้งเงินเยนและเงินยูโร จะเห็นว่าไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก แต่ธปท. จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกได้ ซึ่งขณะนี้ถือว่าค่าเงินบาทของไทยยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ยังไม่เสียเปรียบในด้านการแข่งขัน
"ธปท.จะดำเนินนโยบายให้ผู้ค้าสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งได้ แต่ภาคการส่งออกของไทยในปี 2548 จะอยู่ที่ 10- 20% จะสูงไม่มากอย่างในปีที่ผ่านมาที่สูงถึง 20-22% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง"ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น การที่ ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นไม่ได้ขึ้นตามสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ ธปท.ได้ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้น แต่ในขณะนี้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่การฟื้นตัวชัดเจนแล้ว ดังนั้น ความจำเป็นที่จะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวจึงลดลง
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 2547 ต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันแพง ปัญหาไข้หวัดนก ซึ่งหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวก็จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่านี้อีกมาก ทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว จะต้องกลับมาดูด้านต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ดอกเบี้ยต่ำ คือ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ที่แท้จริง
โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในขณะนี้ติดลบ 2.33% ทำให้การออมของไทยลดลงมาก จำเป็นต้องทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะสร้างการออม รองรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องดุลบัญชีเดินสะพัด จากปัจจุบันการออมของภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 4-5% เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ธปท. ยังมีระยะเวลาที่จะปล่อยให้ดอกเบี้ยขยับขึ้นอีกภายในเวลา 3 ปี
"ธปท.คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลอยู่ ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะต้องไม่ขึ้นอย่างพรวดพราดจนกระตุกเศรษฐกิจ แต่ค่อยๆ ทยอยขึ้นเพื่อให้ตลาดสามารถปรับตัวได้ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นคงไม่ขึ้นปีเดียว 2% เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ติดลบเลย"
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย วานนี้ (22 ธ.ค.) เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 39.03 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้านี้ และแข็งค่าขึ้น 5.07% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่หากเทียบกับค่าเงินยูโร สหภาพยุโรป ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.41% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.0.26%
ขณะที่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 0.48% เมื่อเทียบกับวันก่อน หน้า และแข็งค่าขึ้น 3.31% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
|
|
 |
|
|