กลุ่มสยามแก๊สทุ่มเงิน 2,170 ล้านบาท เทกโอเวอร์ยูนิคแก๊สฯ ก้าวสู่ผู้นำการจัดจำหน่ายแก๊สหุงต้มรายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ เบียดแซงปิคนิคแก๊สฯ ตกไปอันดับ 3 ประกาศปีหน้า จะทุ่มเงินอีก 1,000 ล้านบาท ขยายธุรกิจแก๊สและแอมโมเนียในไทย รวมทั้งบุกตลาดแก๊สในจีนและเวียดนามเพิ่มเติม พร้อมทั้งจ่อคิวเข้าตลาดหุ้นในไตรมาส 2-3 ของปี 48 โดยจะขายหุ้นไอพีโอ 25 ล้านหุ้น
วานนี้ (21 ธ.ค.) บริษัทอุตสาหกรรมแก๊สสยาม จำกัด ได้ลงนามสัญญาซื้อกิจการบริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ปิโตรเคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายแก๊สหุงต้มรายใหญ่ของไทย คิดเป็นเงิน 2,170 ล้านบาท โดยได้มีการชำระเงินค่าหุ้นเต็มวงเงินแล้ว ซึ่งแหล่งเงินมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ
นายวรวิทย์ วีรบวรพงษ์ ประธานกรรมการกลุ่มสยามแก๊ส เปิดเผยว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลให้กลุ่มสยามแก๊ส ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้จัดจำหน่ายแก๊สหุงต้มรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากบมจ.ปตท. ด้วยยอดขายประมาณ 5.7 หมื่นตัน/เดือน จากตลาดรวมแก๊สหุงต้มอยู่ที่ 2.2 แสนตัน/เดือน ซึ่งเบียดแซงปิคนิคแก๊สฯอย่างเฉียดฉิว โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% ขณะที่ปตท.และปิคนิคแก๊สมีส่วนแบ่งตลาด 45% และ 21% ตามลำดับ
"เราเล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจนี้ โดยมีเป้าหมายความเป็นหนึ่งในธุรกิจแก๊สของไทย จึงได้รับความไว้วางใจจากยูนิคแก๊สฯ ให้เข้ารับช่วงกิจการ ทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งบริษัทได้มีการเจรจาซื้อกิจการยูนิคแก๊สฯประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา"
ภายหลังการเข้าซื้อกิจการยูนิคแก๊สฯ จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาทในปีนี้ และปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 11,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% ขณะที่กำไรจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยปีนี้จะมีกำไรประมาณ 300-400 ล้านบาท และปีถัดไปคาดว่าจะมีกำไรสูงถึง 600 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจแอมโมเนียเข้ามา ซึ่งเป็นธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ยูนิคแก๊สฯดำเนินการอยู่ โดยธุรกิจนี้จะมีมาร์จิ้นสูงถึง 25% ขณะที่แก๊สหุงต้มมีมาร์จิ้นเพียง 10% เท่านั้น
"ปีนี้คาดว่ายอดขายแก๊สหุงต้มอยู่ที่ 6 แสนกว่าตัน และคาดว่าปีหน้าจะโตขึ้นอีก 10% แตะที่ 7 แสนกว่าตัน ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมแก๊สที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 3-5% เท่านั้น"
นายวรวิทย์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังมีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณไตรมาส 2-3 ของปี 2548 โดยจะมีการเพิ่มทุนจากเดิมที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ 600 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะเพิ่มทุนอีก 250 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 25 ล้านหุ้น เพื่อจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) โดยเงินที่ได้จากการเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายกิจการทั้งแก๊สและแอมโมเนีย รวมทั้งบริษัทมีแผนจะเข้าไปลงทุนในจีนและเวียดนามเพิ่มเติมด้วย
ในปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งสยามแก๊สจะเข้าไปซื้อโรงบรรจุแก๊ส และท่าเทียบเรือที่ซัวเถา และกวางเจา ประเทศจีน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10-12 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 400-500 ล้านบาท รวมทั้งจะเข้าไปขยายธุรกิจแก๊สหุงต้มในเวียดนาม หลังจากยูนิคแก๊สฯได้เข้าไปร่วมทุนกับเอ็กซอนโมบิล ทำธุรกิจแก๊สหุงต้มในเวียดนาม หลังจากปีที่ผ่านมาได้ชะลอการดำเนินงานไปชั่วคราว
นอกจากนี้ บริษัทจะขยายโรงบรรจุแก๊สเพิ่มเติมในบางจังหวัด และขยายธุรกิจแอมโมเนีย ซึ่งอาจจะมีการซื้อเรือเพิ่มเติม โดยขณะนี้บริษัทมีเรืออยู่ 10 กว่าลำ และรถขนส่งแก๊สอีก 500 คัน
ปัจจุบันธุรกิจแก๊สหุงต้มในไทยมีการแข่งขันเพียงไม่กี่ราย คือ ปตท. สยามแก๊ส ปิคนิคแก๊ส และแสงทอง ในขณะที่เอสโซ่และคาลเท็กซ์ ได้หวนคืนตลาดก๊าซหุงต้มเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมและถังก๊าซขนาดใหญ่เท่านั้น ภายหลังจากบริษัทฯเข้าไปบริหารงานในยูนิคแก๊สฯ การทำตลาดยังคงจำหน่ายแก๊ส 2 แบรนด์เช่นเดิมทั้งสยามแก๊สและยูนิคแก๊ส โดยบริษัทมีคลังแก๊สอยู่ที่ลำปาง นครสวรรค์ ขอนแก่น กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และฉะเชิงเทรา
"แม้รัฐบาลจะลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มในปีหน้า แต่เชื่อว่าต่างชาติคงจะเข้ามาแข่งขันในตลาดเมืองไทยลำบากเพราะรายเดิมที่อยู่ล้วนเป็นรายใหญ่ และการขยายตลาดต้องลงทุนเรื่องถังก๊าซอีกมาก ซึ่งหากเปิดเสรีจริง ๆ บริษัทจะแข่งขันได้อย่างไร้ปัญหา เพราะมีทั้งกองเรือ และรถขนส่งก๊าซ ซึ่งบริษัทก็พร้อมจะนำเข้าก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศด้วย" นายวรวิทย์ กล่าว
|