EMC เปิดทางให้ "เฟลิกซ์ ออง คิม ฮวด" เข้าถือหุ้นใหญ่ประมาณ 11% ด้วยการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ 60 ล้านหุ้นให้จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 5.25 บาท ส่วนอีก 10 ล้านหุ้น ขายให้ซัปพลายเออร์ทางธุรกิจ ยันเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อบริหาร ตั้งเป้าปีหน้าโตไม่ต่ำกว่า 25%

พล.ท.หญิงสำอางค์ ทองปาน กรรมการ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) (EMC) เปิดเผยถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ครั้งที่ 18/2547 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญใหม่จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคล ในราคาหุ้นละ 5.25 บาท ซึ่งกำหนดชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 20 ธันวาคม 2547

สำหรับนักลงทุนที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนประกอบด้วย นายเฟลิกซ์ ออง คิม ฮวด (Mr. Felix Ong Kim Huat) จำนวน 50 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่จะสามารถช่วยขยายตลาดในภูมิภาคอินโดจีน

นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจอีก 5 ราย คือ นางฮวดเจี่ยม สัวบุตร จำนวน 1 ล้านหุ้น นายบุญมี เอี่ยมชีรางกูร 3 ล้านหุ้น นายพงษ์ศักดิ์ ศรีวชิรพานิช 4 ล้านหุ้น นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย 1 ล้านหุ้น และนายอดุลย์ บุญรอด 1 ล้านหุ้น

นายสุทธิศักดิ์ โล่ห์สวัสดิ์ ประธานกรรมการ EMC กล่าวว่า ราคาหุ้นที่ขายให้กับพันธมิตรที่หุ้นละ 5.25 บาทนั้น ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ไม่ได้มองว่าสูงหรือต่ำเกินไป เพราะจุดประสงค์หลักคือ ต้องการพันธมิตรและเงินทุนมาหนุนธุรกิจมากกว่า ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาหุ้นในกระดาน ก็อยู่ที่ระดับ 4-5 บาท และการขายที่ 5.25 บาท เป็น ราคาเฉลี่ยของหุ้นที่ซื้อขายเฉลี่ย 60 วัน ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่แล้ว

นายสุทธิศักดิ์ยืนยันว่าการลงทุนของ EMC ยังเน้นที่การทำการก่อสร้างงานระบบ โดยจะไม่เข้าไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะไม่ใช่สิ่งที่ถนัด แม้ว่าพันธมิตรรายใหม่อย่าง นายเฟลิกซ์ ออง คิม ฮวด ที่เป็นนักลงทุนต่างชาติและการลงทุนในหลายประเทศ โดยเน้นที่ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ส่วนการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนใน EMC นั้นหวังต้องการเงินปันผลมากกว่า ซึ่งการที่นายเฟลิกซ์ ออง คิม ฮวด ซื้อหุ้นครั้งนี้จะทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 11% ใน EMC ซึ่งจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จากเดิมที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 29,837,398 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 9.35% ส่วนอีก 5 ราย เป็นซัปพลายเออร์ที่มีส่วนร่วม เรื่องงานกับบริษัทอยู่แล้ว และต้องการเข้ามามีส่วนช่วยเหลือมากขึ้น

"แต่การเข้ามาของนายเฟลิกซ์ ออง คิม ฮวด เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนด้วย และการเข้ามาครั้งนี้เขาไม่ต้องการมาบริหาร แต่ต้องการรับเงินปันผลจากการลงทุนมากกว่า เพราะปี 48 เป็นปีแรกที่จะเราจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น หลังจากที่ไม่ได้จ่ายมาตั้งแต่ปี 39 และเราจะจ่ายให้ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลคือไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ"

สำหรับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับพันธมิตรใหม่ในครั้งนี้ จะได้เงินเข้ามาประมาณ 325 ล้านบาท ซึ่งบริษัทต้องการเงินทุนสำรองไว้ในการขยายงานในปีหน้า ที่ EMC เล็งประมูลงานของรัฐเพิ่ม เนื่องจากนโยบายรัฐต้องการอัดงบประมาณเพื่อระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกมหาศาล ซึ่งบริษัทจะเข้าร่วมประมูลหลายโครงการเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการประมูลรถไฟใต้ดินที่จะเปิดให้เอกชนเข้าประมูล ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อร่วมมือกันร่วมเข้าประมูลในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ หลังจากที่พลาดจากการประมูลแอร์พอร์ตลิงก์มาแล้ว เนื่องจาก EMC ยังไม่พร้อมในหลายเรื่อง

โดย EMC มีเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 2 พันล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน แต่หากต้องการเงินที่จะใช้อย่างกะทันหัน ก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการที่มีเงินสดในมือจะทำให้ทันใช้มากกว่าการที่ต้องใช้เวลาก่อนระยะหนึ่งจึงจะได้เงินกู้จากสถาบันการเงิน

ปัจจุบัน EMC มีงานในมือ (blacklog) ประมาณ 2 พันล้าน ที่จะไปรับรู้รายได้ในปี 48 และตั้งเป้าปีหน้าว่าจะหางานใหม่เข้ามาเพิ่มอีกประมาณ 2 พันล้าน ขณะที่เป้าหมายรายได้ของบริษัทในปีนี้มีประมาณ 1,500 ล้านบาท และปีหน้าเติบโตอีกไม่ต่ำกว่า 25% เนื่องจากมีงานที่รอให้เข้าประมูล และงบการเงินไตรมาส 4 ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ล่าสุด EMC ได้รับการว่าจ้างจากบริษัท ไทยคาจิมา จำกัด เพื่อให้ดำเนินงานจัดหาและติดตั้งงาน ระบบไฟฟ้าและสื่อสาร,ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ,ระบบสุขาภิบาล-ดับเพลิง โครงการสยาม โอเชี่ยน เวิร์ล มูลค่างาน 103,000,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โครงการมีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ 9 กรกฎาคม 2548