บนเส้นทางที่กันดาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านขนาด 152 ครอบครัวในตำบลหัวเสือ
อำเภอแม่ทะ ชุมชนที่แบกหนี้สินรวมกว่า 18 ล้านบาท กำลังแสวงหาหนทางอยู่รอดใหม่
ด้วยกระบวนการเรียนรู้ ที่อาจจะเป็นตัวอย่างสำหรับชุมชนแห่งอื่นในอนาคต
หากพิจารณาจากบริบททางกายภาพของหมู่บ้านสามขา ซึ่งเป็นที่ราบต่างระดับเชิงเขา
ที่แวดล้อมด้วยภูเขาสูงต่ำลดหลั่น และผืนป่าที่บางส่วนยังได้รับการอนุรักษ์ไว้
ชุมชนหมู่บ้านสามขา ก็คงเป็นเพียงหมู่บ้านในชนบทเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าชุมชนแห่งอื่นๆ
อีกทั้งยังอาจจะเป็นชุมชนที่มีความสำคัญน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะมิได้มีสถานะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ
หรือแม้แหล่งเพาะปลูกที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจใดๆ
แต่ชุมชนนี้กลับมีความน่าสนใจในระดับที่มูลนิธิไทยคม และมูลนิธิศึกษาพัฒน์
รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ทั้งศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ภาคเหนือ, ปูนซิเมนต์
ไทย ลำปาง หรือแม้กระทั่ง NECTEC ต่างหยิบยื่นความช่วยเหลือร่วมมือเข้าสู่ชุมชนแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ความมุ่งหมายที่จะทำให้ชุมชนบ้านสามขา เป็นตัวอย่างหนึ่งของการแก้ไขปัญหาระดับรากหญ้า
คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า ผลพวงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ส่งผลให้ชุมชนบ้านสามขาถูกดูดซับให้เป็นส่วนหนึ่งในกระแสบริโภคนิยม ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชุมชนอื่นๆ
ในสังคมไทย และต้องเผชิญกับวิบากกรรมร่วมกัน เมื่อฟองสบู่ที่พองโตในช่วงก่อนหน้านี้ได้แตกออก
"เราเริ่มจัดประชุมสมาชิกในหมู่บ้าน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพราะแต่ละครัวเรือนมีหนี้สินท่วมตัว
และยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถปลดหนี้สินเหล่านี้ได้" จำนงค์ จันทร์หอม ผู้ใหญ่บ้าน
ย้อนอดีตหมาดๆ ของชุมชนให้ฟัง
สภาพโดยทั่วไปของชุมชนบ้านสามขา ก่อนหน้านี้ ดูจะเป็นภาพสะท้อนที่ย่อส่วนสังคมไทยไว้ได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวหมู่บ้านสามขา ต่างพยายามแสวงหาเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งวิทยุ
โทรทัศน์ ตู้เย็น รวมถึงรถกระบะ และจักรยานยนต์ ซึ่งล้วนแต่มีเข็มมุ่งไปในทางที่ต้องการแสดงสถานะทางสังคม
มากกว่าจะใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิต
"เวลานั้น ทุกคนพยายามที่จะมีของฟุ่มเฟือย เหมือนกับการแข่งกัน ถ้าบ้านนี้มีรถมอเตอร์ไซค์
พรุ่งนี้อีกบ้านหนึ่งต้องมีรถกระบะ ซึ่งทั้งหมดเป็นการกู้ยืมเงินคนอื่นมาซื้อทั้งนั้น"
ปัญหาใหญ่ของชุมชนอยู่ที่การกู้ยืมเงินนอกระบบเพื่อมาใช้หนี้สินเดิม ทำให้มูลหนี้ซึ่งแต่เดิมมีอยู่น้อย
เริ่มพอกพูนทับถม พร้อมกับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นเงา และกลายเป็นมูลหนี้ก้อนใหญ่ในที่สุด
โดยจากการสำรวจเมื่อปี 2543 หนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนมีมากถึง 122,248 บาท
และเป็นหนี้เสียถึง 591,543 บาท
"จากหนี้สินก้อนแรกประมาณ 1 หมื่นบาท ชาวบ้านต้องไปกู้เงินจำนวนมากขึ้นมาจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย
เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งบางคนมีหนี้สินรวมกว่าแสนบาท ขณะที่รายได้ที่แท้จริงของชาวบ้านมีเฉลี่ยไม่ถึง
6 พันบาทต่อครอบครัว"
เมื่อปัญหาเริ่มพอกพูนและขยายตัวกว้างขวางขึ้นในปี 2541 แกนนำของชุมชนที่ประกอบด้วยจำนงค์
จันทร์หอม ผู้ใหญ่บ้าน, ชาญ อุทธิยะ และ จสอ.ชัย พร้อมด้วยครูศรีนวล วงศ์ตระกูล
จึงคิดริเริ่มที่จะจัดตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ เพื่อเป็นธุรกิจชุมชน โดยมีเงินออมในแต่ละเดือนกว่า
23,000 บาท มีทุนหมุนเวียน 700,000 บาท โดยส่วนหนึ่งของเงินปันผล นำไปเป็นสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลและสมาชิกที่เสียชีวิต
ความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านหมู่บ้านสามขา ในความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหนี้เสียของสมาชิกหมู่บ้าน
ส่งผลให้ในปี 2542 สมาชิกของชุมชนได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารจัดการหนี้เสีย
โดยสามารถเรียกคืนหนี้เสียได้รวม 102,580 บาท แต่นั่นอาจจะยังห่างไกลจากเป้าหมาย
ที่สมาชิกหมู่บ้านคาดหวังไว้ โดยในปี 2543 สมาชิกหมู่บ้านได้ร่วมกันทบทวนวิธีใหม่เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมในการพัฒนาชุมชน
โดยจัดกระบวนการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
"เราพยายามเริ่มต้นจากการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนของเราเอง ว่ามีลักษณะความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร
มีภูมิประเทศเหมาะสมกับการประกอบกิจกรรมอะไรได้บ้าง เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐาน
ก่อนการวางแผนดำเนินงาน" จสอ.ชัย วงศ์ตระกูล แกนนำของชุมชน เล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟัง
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ครูศรีนวล วงศ์ตระกูล ภรรยาของชัย ซึ่งรับราชการเป็นครูอยู่ในโรงเรียนบ้านสามขา
ได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกอบรมในโครงการ Lighthouse ที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคเหนือ
ซึ่งที่นี่ทำให้เธอได้รับแนวความคิดว่าด้วยการเรียนรู้ใหม่ๆ ตามแนวทาง Constructionism
เข้ามา ซึ่งไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนในกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนบ้านสามขา
ที่เธอรับผิดชอบอยู่เท่านั้น หากแต่เธอยังนำเอาความคิดความรู้ที่ได้จากการอบรมดังกล่าว
ขยายผลให้สมาชิกชุมชนคนอื่นได้ร่วมรับรู้ด้วย
การประชุมเพื่อวิเคราะห์ปัญหาหนี้เสียของชุมชน ซึ่งดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความกังวลใจมาอย่างต่อเนื่องถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกัน
ภายใต้บรรยากาศที่ไม่แตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้ตามแนว Constructionism
ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (immersion learning)
เท่าใดนัก
ชาญ อุทธิยะ แกนนำชุมชนอีกคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมสมาชิกหมู่บ้านเพื่อหามูลเหตุของปัญหาหนี้เสีย
ทำให้พบว่าชาวบ้านใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย และกิจกรรมที่ไม่จำเป็นอย่างมากมาย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้สินจากการบริโภคที่ล้นเกินความจำเป็น ที่ประชุมจึงมีความเห็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
โดยเน้นไปที่การลดละเลิกค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเหล่านี้เสีย
"เมื่อก่อนเวลาบ้านไหนมีงานบุญ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานศพ จะต้องจัดหาสุรา
หรือบุหรี่มาจ่ายแจก ซึ่งล้วนแต่เป็นรายจ่ายที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มพูนอะไร
จึงมีการตกลงกันว่านับจากนี้ เจ้าภาพไม่จำเป็นต้องเสียเงินใช้จ่ายไปกับสิ่งเหล่านี้
ขณะที่ในชีวิตประจำวันชาวบ้านก็เลิกสูบบุหรี่ กินเหล้า ทำให้เริ่มจะมีเงินออมเงินเก็บมากขึ้น"
ชาญ อุทธิยะ ซึ่งครั้งหนึ่งก็เสียเงินจำนวนมากไปกับการดื่มกิน แต่วันนี้เขาเป็นหัวแรงสำคัญในการพัฒนาชุมชน
กล่าวในอารมณ์ที่อยากย้อนเวลาได้
ขณะเดียวกันโรงเรียน ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงสถานที่ในการให้ความรู้แก่เยาวชน
ที่ล้วนแต่เป็นลูกหลานของสมาชิกในชุมชน ก็ปรับเปลี่ยนบทบาท และเพิ่มสถานะของการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนไปโดยปริยาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแกนนำชุมชนได้หารือกับ สุชิน เพ็ชรักษ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ
กศน.ภาคเหนือ ในฐานะผู้จัดการโครงการ Lighthouse และ Constructionism Lab
จังหวัดลำปาง ในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ระดับชุมชน ภายใต้กิจกรรมฝึกอบรมและแนะนำการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ร่วมกับสมาชิกเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งติ๊บจ้าง ใน 10 ตำบลของจังหวัดลำปาง
ที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ภาคเหนือ ในช่วงต้นปี 2544 ที่ผ่านมา
กิจกรรมร่วมระหว่างชุมชนบ้านสามขา และ Constructionism Lab ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยครูและเยาวชน
รวมถึงผู้แทนชุมชนต่างมีโอกาสหมุนเวียนเข้าร่วมกิจกรรมของ กศน.ภาคเหนือ ก่อนที่มูลนิธิศึกษาพัฒน์
โดยพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา จะให้ความสนใจการพัฒนาของหมู่บ้านสามขา ในฐานะที่เป็นกรณีตัวอย่างของ
village that learn โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนในกระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของชุมชน
และความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยี พร้อมกับการรับเป็นธุระในการจัดหาอุปกรณ์
และจัดอบรมเพื่อพัฒนาสมาชิกของชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่าง กศน.ภาคเหนือ และมูลนิธิศึกษาพัฒน์
รวมถึงมูลนิธิไทยคม ส่งผลให้ความช่วยเหลือร่วมมือที่หมู่บ้านสามขาได้รับจากองค์กรภายนอก
ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมเยาวชนและผู้แทนชุมชนจากหมู่บ้านสามขา
เพื่อเพิ่มทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์และการสร้างกระบวนการคิด ผ่านโปรแกรม
Micro Worlds และ LEGO-Logo รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของปูนซิเมนต์ไทย
ลำปาง เข้ามาเป็นวิทยากรในการจัดทำระบบบัญชีกองทุนหมู่บ้านและบัญชีครัวเรือนด้วย
กระบวนการสร้างเสริมชุมชนให้เข้มแข็งและเรียนรู้ร่วมกัน อีกประการหนึ่งอยู่ที่การพัฒนาให้เกิดแหล่งบริการสารสนเทศของโรงเรียนและชุมชน
โดยนอกจากจะมีสนับสนุนคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องอื่นๆ
ในจำนวนที่มากพอจะตั้งเป็นศูนย์คอมพิวเตอร์ของชุมชนที่โรงเรียนบ้านสามขาแล้ว
ยังมีการสนับสนุนติดตั้งจานดาวเทียมเพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งเป็นการข้ามพ้นข้อจำกัดของชุมชนที่เครือข่ายสายโทรศัพท์ยังเข้ามาไม่ถึงอีกด้วย
แม้ว่าชุมชนบ้านสามขาจะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ และผู้แทนของชุมชนมีโอกาสจะนำเสนอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของชุมชน
ให้สังคมในวงกว้างได้รับรู้ตามคำเชิญของหน่วยงานมากมาย รวมทั้งการที่ครูจากโรงเรียนบ้านสามขา
อย่างครูศรีนวล วงศ์ตระกูล จะมีโอกาสนำเสนอรายละเอียดโครงการวิจัยเพื่อการปฏิรูปการศึกษาทั้งโรงเรียน
แต่ดูเหมือนว่าวิบากกรรมของชุมชนหมู่บ้านสามขายังมิได้สิ้นสุดลง โดยเฉพาะในประเด็นว่าด้วยอนาคตของโรงเรียนบ้านสามขา
ซึ่งมีจำนวนนักเรียนประมาณ 50 คน
"จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชนเกิดมีขึ้นนานมาแล้ว เพราะครูใหญ่ของโรงเรียนบ้านสามขาในอดีต
ก็ล้วนแต่เป็นสมาชิกของหมู่บ้านและเป็นผู้นำทางความคิด ที่สมาชิกส่วนใหญ่ให้การเคารพ
วัด โรงเรียน และชุมชน เป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ซึ่งในวันนี้เราหวังว่าชุมชนจะมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของชุมชนมากขึ้นเท่านั้น"
เป็นเพียงเสียงสะท้อนของแกนนำชุมชนบ้านสามขา ซึ่งกำลังกังวลใจเกี่ยวกับการยุบโรงเรียนบ้านสามขา
ตามนโยบายของสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ ที่มีฐานของสมการในการจัดการศึกษาอยู่ที่จำนวนนักเรียนในแต่ละโรงเรียน
ว่ามีมากน้อยเพียงใด และคุ้มค่าต่อการลงทุนในการจัดจ้างครูหรือไม่ โดยมีเกณฑ์ขั้นต่ำของนักเรียนในโรงเรียนอยู่
ที่ 80 คนต่อ 1 โรงเรียน
"การคิดคำนวณตัวเลขจำนวนนักเรียนอย่างที่ทำอยู่ เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของหน่วยงานรัฐ
จากส่วนกลางต่อสภาพที่เป็นอยู่จริงของพื้นที่ ทำไมไม่คิดว่าสมาชิกของชุมชนกว่า
600 คนได้ร่วมเรียนรู้กับโรงเรียน ความสำคัญของโรงเรียนต่อชุมชนอยู่ตรงนี้มากกว่า"
ชาญ อุทธิยะ ย้ำความสัมพันธ์ของโรงเรียนบ้านสามขาที่มีต่อชุมชนแห่งนี้
เรื่องราวมากมายของชุมชนหมู่บ้านสามขา อาจบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ชนบทมิใช่ที่อยู่ของคนด้อยปัญญา
หากแต่เพียงพวกเขาขาดโอกาสเท่านั้น ซึ่งบทเรียนของหมู่บ้านสามขาอาจเป็นแบบอย่างในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง
ที่หลายฝ่ายมุ่งหมายอยากให้เกิดขึ้น
แต่สำหรับแกนนำชุมชนหมู่บ้านสามขา พวกเขามิได้ยึดติดกับคำว่าชุมชนเข้มแข็งมากนัก
ในทัศนะของพวกเขา สิ่งที่พวกเขากำลังทำเป็นเพียงการรู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ปัญหาเก่า
และเรียนรู้เพื่อแสวงหาหนทางในการยืนขึ้นอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจเป็นนิยามที่มีความหมายมากยิ่งขึ้นอีก