|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เผยธปท.จะนำผลการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยของเฟดมาประกอบการพิจารณาการกำหนดดอกเบี้ยอาร์/พี หากส่งผลกระทบต่อตลาดเงินในประเทศ ด้านบิ๊กแบงก์กรุงศรีอยุธยา "จำลอง อติกุล" มั่นใจวันนี้ธปท.ปรับขึ้นอาร์/พี อีก 0.25% ขณะที่ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์จะปรับตามในปี 2548 แต่จะไม่ส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจชะงัก
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ อาจปรับขึ้นว่าผลการประชุมของเฟดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ ธปท.จะนำมาประกอบการพิจารณา หากการปรับดอกเบี้ยของเฟดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างประเทศ
ส่วนการประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน) ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธปท.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ จะปรับขึ้นหรือไม่นั้น ทางคณะกรรมการจะพิจารณาโดยคำนึงถึงปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก เช่นผลที่จะเกิดขึ้นต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผลที่จะเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
"การประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะถึงนี้จะพิจารณาหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยภายในไทยมากกว่าความกดดันจากต่างประเทศเหมือนครั้งที่ผ่านมา เช่นดูว่าผลของการไหลเข้าหรือออกของเงินทุนจากต่างประเทศ เป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่" ผู้ว่าการธปท. กล่าว
สำหรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินในขณะนี้เริ่มนิ่งแล้ว จึงส่งผลให้ค่าเงินสกุลบาทของไทยอ่อนค่าลงเล็กน้อย และกลับมานิ่งอีกครั้งตามค่าเงินสกุลหลักของโลก โดยค่าเงิน ยูโรได้อ่อนลงจาก 1.34 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐมาเป็น 1.32 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐในส่วนค่าเงินเยน ญี่ปุ่นอ่อนค่าจาก 104 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ 102 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ
"ภาวะที่เกิดขึ้นในตลาดเงินโลกในตอนนี้ทำให้สบายใจขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง บาทก็เริ่มนิ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯใช้วิธีดึงให้ค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนลง จนใครๆ ก็รู้ในที่สุด ดังนั้นค่าเงินก็ต้องกลับมาแข็ง โดยค่าเงินดอลลาร์ในปัจจุบันก็กลับมาแข็งค่าขึ้นแล้ว" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
ด้านนายจำลอง อติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะถึงนี้ตามธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่จะมีการประชุมครั้งล่าสุด ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยโดยรวมในปี 2548 นั้น เชื่อว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่คงไม่ขึ้นมากจนถึงขั้นส่งผลทำให้ธุรกิจชะงัก
"คิดว่าทางการคงจะค่อยๆ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ตลาดปรับตัวได้ทัน ส่วนธนาคารเองมองว่าประมาณไตรมาสแรกของปีหน้า น่าจะได้เห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากระยะสั้น" นายจำลองกล่าว
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในระยะสั้นยังผันผวนอยู่ ซึ่งเป็นเพราะนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นของไทยนั้นจะอิงกับเงินเฟ้อมากกว่า ประกอบกับดัชนีผู้บริโภคในปีนี้สูงกว่า 3% การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยก็เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หากอัตราดอกเบี้ยขึ้น ก็ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่หากปรียบเทียบกับค่าเงินยุโรปและออสเตรเลียแล้วจะพบว่าดอกเบี้ยของไทยยังต่ำอยู่
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ให้ความเห็นที่แตกต่างกันว่า บอร์ดกนง.ในวันนี้จะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เนื่องจากมีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้การไหลของเงินอยู่ในระดับที่รองรับได้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนดไว้
"หากการประชุมบอร์ดกนง.ครั้งที่จะถึงนี้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้มีเงินไหลเข้ามาจากต่างประเทศมากขึ้น และจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งทำให้ธปท.ต้องดูดซับสภาพคล่องออกไป ทำให้ต้องมีต้นทุนในการดูดสภาพคล่อง"
ส่วนอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อาจมีการทยอยปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2548 หลังจากที่สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเริ่มลดลง และได้รับแรงกดดันจากธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ จะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.75%
|
|
 |
|
|