Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2545
เมื่อต้องปกป้องลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์             
โดย ไพเราะ เลิศวิราม
 

   
related stories

ลำดับเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของบีเอสเอ ธ.ค.44-ปัจจุบัน
กลุ่มพันธมิตรธุรกิจผู้ผลิตซอฟท์แวร์โฮมเพจ
www.siia.net/priacy

   
search resources

กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์
ทารุน ซอว์นีย์
Software




ทารุน ซอว์นีย์ ผู้จัดการภูมิภาคการป้องปรามการละเมิด กลุ่มพันธมิตรธุรกิจผู้ผลิตซอฟต์แวร์ (Business Software Alliance : BSA) วัย 40 ผู้นี้ก็เป็นเหมือนกับทีมงานของบีเอสเออีกหลายคน ที่ต้องเผชิญอยู่กับความท้าทายของอาชีพการทำงาน ในการเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ให้กับกลุ่มพันธมิตรธุรกิจผู้ผลิตซอฟต์แวร์

แม้ธุรกิจค้าซอฟต์แวร์เถื่อนจะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ด้วยผลกำไรจำนวนมากที่ได้ เมื่อเทียบกับต้นทุนเพียงน้อยนิดใน การก๊อบปี้โปรแกรมซอฟต์แวร์ใส่แผ่นซีดีซึ่งมีต้นทุนไม่กี่บาท ทำให้ธุรกิจก๊อบปี้ซอฟต์แวร์ เป็นที่เฟื่องฟู และค้าขายกันดาษดื่น เม็ดเงินที่ได้จึงเย้ายวนมากกว่า โทษปรับ 180,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 9 เดือน

ถึงแม้ว่า เจ้าของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จะออกแรงผลักดันให้มีการใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเกือบทุกประเทศ แต่ความหวังที่การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จะหมดไป 100% จึงเป็นไปไม่ได้ อย่างดีก็คือ ทำให้สัดส่วนการละเมิดลดลง และนี่ก็ เป็นภารกิจของเหล่าทีมงานบีเอสเอ พวกเขาถูกจ้างมาสำหรับหน้าที่เหล่านี้

ซอว์นีย์ เกิดและโตในอินเดีย แต่ไปเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจที่ประเทศอังกฤษ ทำให้เขาเป็นตำรวจผิวสีเพียงคนเดียวในกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นช่วงที่ปัญหาการแบ่งแยกผิวยังมีอยู่มาก เขาบินกลับมาใช้ชีวิตตำรวจที่ฮ่องกง ทำอยู่ได้ 3-4 ปี ขอทุนรัฐบาลเรียนต่อจนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ และการปกครอง

หลังเรียนจบซอว์นีย์ย้ายมาทำงานอยู่ในแผนกสืบสวนสอบสวนพฤติกรรมตำรวจ ขณะเดียวกันก็สอนเรื่องกฎหมายอาชญากรรม และการเป็นผู้นำ ทำอยู่นาน 4 ปี ตัดสินใจลาออกจากชีวิตการเป็นตำรวจที่ฮ่องกง เปลี่ยนอาชีพมาทำงานให้กับ MPA เป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ในส่วนของลิขสิทธิ์เพลงในแถบเอเชียแปซิฟิก

"อาชีพตำรวจ เราคาดการณ์ได้ว่า จะได้เงินเดือนเท่าไร ได้เงินกี่ขั้น เป็นงานเดิมๆ ที่ต้องทำทุกวัน" ซอว์นีย์บอก

อาชีพใหม่ของซอว์นีย์ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขา ต้องเดินทางตลอดเวลา จากการรับผิดชอบปราบปรามละเมิดลิขสิทธิ์ดนตรีและภาพยนตร์ให้กับ MPA เป็นจำนวนถึง 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ สภาพแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เขาต้องเรียนรู้ตั้งแต่เรื่องกระบวนการของการทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะแหล่งผลิต ขั้นตอนการค้าขาย เริ่มขายที่ไหน ใครเป็นผู้ขาย รวมถึงการส่งออก ช่องว่างของกฎหมายหรือแม้แต่ทำไมรัฐบาลของแต่ละประเทศ จึงไม่ใช้กฎหมาย ทั้งๆ ที่ลงนามในข้อตกลงทางกฎหมายแล้ว

เหตุการณ์รุนแรงที่สุดของเขาในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ การตรวจโรงงานผลิตซีดีปลอมในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีกลุ่มอิทธิพลหนุนหลัง ซึ่งทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

"ปกติแล้วต้องใช้เวลาตรวจเป็นชั่วโมง แต่นี่เราไปได้แค่ 20 นาที ตำรวจที่ไปด้วยตะโกนบอกให้หนีออกมาให้เร็วที่สุด ตอนนั้นทุกคนวิ่งกันสุดชีวิต หยิบหลักฐานเท่าที่จะหยิบได้" ซอว์นีย์เล่า หลังจากสิ้นเสียงของตำรวจผู้นั้น รถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งสวนออกมา และการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

"นับว่าเป็นโชคดีที่ผมหนีออกมา ได้ทัน ไม่เช่นนั้นผมก็คงต้องเป็น 1 ในผู้ที่บาดเจ็บ"

หลังจากทำงานอยู่กับ MPA 2 ปี ซอว์นีย์ตัดสินใจเปลี่ยนไปทำงานกับบีเอสเอ ซึ่งมีรูปแบบการทำงานคล้ายกัน ต่างกันที่กลุ่มผู้ละเมิด MPA นั้นพุ่งเป้าไปที่โรงงานผลิต เนื่องจากเป็นลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และเพลง ในขณะที่การปราบปรามผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ของบีเอสเอ จะเป็นองค์กรธุรกิจ และร้านค้าปลีกเป็นหลัก

ประสบการณ์ของเขาในช่วง 8 เดือน ที่ทำงานอยู่กับบีเอสเอ และต้องดูแลการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในกลุ่มร้านค้ารายย่อย ตามห้างสรรพสินค้าใน 14 ประเทศ ทำให้เขาเรียนรู้รูปแบบหรือกระบวนการค้าซอฟต์แวร์เถื่อนที่ซับซ้อน และแยบยลมากขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่อซื้อจากนักสืบ รูปแบบการค้าจะเปลี่ยนจากร้านค้าไปซื้อขายผ่านทางอีเมล ที่กลายเป็นช่อง ทางขายซอฟต์แวร์เถื่อนไปแล้ว หรือบางครั้ง ผู้ขายจะใช้วิธีขายแผ่นซีดีเปล่าให้ลูกค้าถือ ออกนอกห้างสรรพสินค้า จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่ได้ถูกติดตาม จะเอาแผ่นซีดีก๊อบปี้ซอฟต์แวร์ปลอมมาเปลี่ยนให้

"คนขายบางราย เขาไม่วางแผ่นซีดี บนแผง พอลูกค้าติดต่อซื้อจ่ายเงินแล้ว เขาใช้วีธีควักออกมาจากกางเกงหยิบให้ ลูกค้า" ซอว์นีย์เล่าถึงประสบการณ์ในการติดตาม และล่อซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนจากหลายประเทศในย่านเอเชีย

ซอว์นีย์เชื่อว่า แต่ละประเทศจะมีปัญหาเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เช่นกฎหมายลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในมาเลเซีย ส่วนฟิลิปปินส์ การตรวจจับองค์กรจะมีความยุ่งยากมาก นอกจากมีผู้แจ้งเบาะแสแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องเข้าตรวจหาหลักฐานจนแน่ชัดก่อนจะออกหมายค้น ในขณะที่เมืองไทย จากการรับรู้ของเขา ผู้ผลิตหรือผู้ค้าจะมีผู้มีอิทธิพลสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และการวางขายซอฟต์แวร์เถื่อนอย่างโจ่งแจ้ง

แม้การปราบปราบผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่การทำด้วยงบประมาณ และกำลังคนของบีเอสเอมีจำกัด งบประมาณส่วนใหญ่จึงต้องจัดสรร ไปตามความรุนแรงของปัญหา จำเป็นต้องพึ่งพารัฐบาล เขายกตัวอย่าง ห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซิมลิมของสิงคโปร์ และห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย ทั้งสองแห่งเคยขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งซอฟต์แวร์เถื่อน แต่เวลานี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศเอาจริง

ปัจจุบัน ตัวเลขการละเมิด ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทย ในปี 2000 ยังมีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์อยู่ 79% และเป็นอันดับ 5 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สูงสุด รองจากจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ปากีสถาน ความหวังในการทำให้ห้างพันธุ์-ทิพย์พลาซ่า และห้างสรรพสินค้าอื่นๆ เป็นห้างสรรพสินค้าที่ปลอดซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นความหวังอย่างหนึ่งของบีเอสเอ นอกเหนือไปจากปราบปรามให้องค์กรธุรกิจเลิกใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน แต่ซอว์นีย์ ยอมรับว่าการปราบปรามซอฟต์ แวร์เถื่อนให้หมดสิ้นลงคงเป็นไปได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ผลปรากฏว่า การกวาดล้างซอฟต์แวร์เถื่อน ที่เริ่มมาตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้ร้านค้าซอฟต์แวร์เถื่อน ลดจำนวนลงจาก 100 ร้าน เหลือ 25 ร้าน มีการจับกุมการละเมิดไปแล้ว 17 คดี มีจำนวนซีดีเถื่อนที่ยึดมาได้ 1,684 แผ่น คิดเป็นมูลค่า 106 ล้านบาท

แต่มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญต่อห้างสรรพสินค้า แต่ละร้านค้าจะมีรายได้จากการค้าซอฟต์แวร์เถื่อนวันละ 70,000-80,000 บาท ทำให้กิจการนี้ยังคงหอมหวน และเป็นภารกิจที่ซอว์นีย์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของบีเอสเอ ยังต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us