5 ปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาหุ้นของยูบีซีในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นหัวข้อหลักที่วาสิลี
สกูร์ดอส ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินของยูบีซี นำมาใช้เป็นฐานในการแถลงข่าวผลการดำเนินงานประจำปี
2544 เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
5 ปัจจัยดังกล่าว ประกอบด้วย
1. การขยายฐานสมาชิก
2. การถึงจุดคุ้มทุนของกระแสเงินสดหมุนเวียน
3. การที่รัฐอนุญาตให้มีโฆษณาได้ในรายการ
4. การมีช่องรายการใหม่ ซึ่งเป็นการผลิตภายในประเทศ
5. การมีบริการแบบ Interactive
สกูร์ดอสยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันของยูบีซี สามารถทำได้ดีที่สุดเพียงปัจจัยแรก
คือ ความพยายามในการขยายฐานสมาชิกเท่านั้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 ยอดสมาชิกของยูบีซีมีจำนวน ทั้งสิ้น 406,589
ราย เพิ่มขึ้น 25,633 ราย หรือ 6.73% เมื่อเทียบกับยอดสมาชิกในปี 2543
การเพิ่มขึ้นของยอดสมาชิกครั้งนี้ เป็นที่พอใจของฝ่ายบริหาร เพราะในปีที่ผ่านมา
ยูบีซีได้มีการปรับค่าประกันอุปกรณ์สำหรับสมาชิกแรกเข้า และอัตราค่าสมาชิกรายเดือนใหม่ให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม
แต่ยอดการสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่กลับยังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส
4 มียอดสมาชิกเพิ่มสูงขึ้นถึง 16,904 ราย หรือเท่ากับ 69.95% ของยอดสมาชิกที่เพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี
การเพิ่มขึ้นของยอดสมาชิก มีผลให้ผลประกอบการของยูบีซี ในปี 2544 มียอดขาดทุนสุทธิเหลือเพียง
1,419.6 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับผลขาดทุนในปี 2543 ถึง 661.7 ล้านบาท
ตามขั้นตอน ยูบีซีจะใช้การขยายฐานสมาชิกเพื่อเพิ่มรายได้เข้ามาในบริษัท
จนสามารถทำให้กระแสเงินสดหมุนเวียนในแต่ละเดือนปรับเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยที่
2 โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทั้ง 2 ประการ เป็นเพียงสิ่งที่จะทำให้ ฐานะการเงินของยูบีซีกลับมาดีขึ้น
จากที่มีผลขาดทุนสะสมสูงถึง 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในปี
2540 เท่านั้น
ทั้งสกูร์ดอส และสมพันธ์ จารุมิลินท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารยูบีซี ยืนยันตรงกันว่าปัจจัยที่จะส่งผลให้สถานีเคเบิลทีวีรายใหญ่ของไทยรายนี้
สามารถขยายตัวต่อไปได้ในอนาคต ก็คือ การที่รัฐต้องอนุญาตให้มีการโฆษณา
เพราะการอนุญาตให้ยูบีซีสามารถหาโฆษณาเข้ามาได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ 3 จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะก่อให้เกิดปัจจัยที่
4 และ 5 ตามมา และหากรัฐยังห้ามการมีโฆษณา โอกาสที่จะมีการเพิ่มช่องรายการใหม่ๆ
ซึ่งเป็นช่องรายการเฉพาะกลุ่มตลอดจนการให้บริการแบบ Interactive ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างโชคร้ายสำหรับยูบีซีอยู่ไม่น้อย ที่การพิจารณาเรื่องการให้มีโฆษณาในเคเบิลทีวี
ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาประมาณ 1 ปี จนใกล้จะได้ข้อสรุป กลับต้องมีอันล่าช้าออกไปอีก
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการ พิจารณาเรื่องนี้ถึง
2 คนด้วยกัน
คนแรก ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ ที่ขอลาออกจากผู้อำนวย การ อ.ส.ม.ท. เพื่อไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
คนที่ 2 พ.ต.ท.ยงยุทธ สาระสมบัติ ที่ขอย้ายตัวเองจากตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ อ.ส.ม.ท.
เนื่องจากมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท
โอกาสที่ยูบีซีจะสามารถมีโฆษณาเข้ามาในรายการ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจเคเบิลทีวีของไทยรายนี้
คงต้องรอไปอีกระยะ