|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
หุ้นน้องใหม่โกลด์ไฟน์เข้าเทรดตลาดใหม่โชว์ฟอร์มวันแรกสวยยืนเหนือจอง 0.80% ไม่ร่วงตามภาวะตลาดรวม ผู้บริหาร-ที่ปรึกษาทางการเงินพอใจ ตั้งเป้าปีหน้ายอดขายเพิ่มขึ้น 20-30% เล็งเจาะตลาดอัญมณีในประเทศ สวนทางดัชนีตลาดใหม่ร่วง 1.9 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นไทย SET ปิดทรุด 8 จุด หลุดแนวรับ 660 จุด หลังราคาน้ำมันเริ่มดีดกลับขึ้นและกังวลค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนจึงขายทำกำไรออกมา ต่างประเทศขายทำกำไร 200 กว่าล้าน แต่รายย่อยซื้อกว่า 1 พันล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ธ.ค.) เป็นวันแรกที่หุ้นบริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) เป็นวันแรก โดยราคาหุ้นเปิดตลาดที่ระดับ 6.20 บาท ซึ่งเป็นระดับที่เท่ากับราคาจองซื้อ จากนั้นมีแรงขายทำกำไรกดให้ราคาลดลงไปที่ 6.15 บาท ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวยืนเหนือจองได้อีกครั้ง โดยขึ้นไปสูงสุดที่ 6.35 บาท ก่อนจะปิดตลาดที่ 6.25 บาท เหนือราคาจอง 0.80% มูลค่าการซื้อขาย 112.89 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นใหม่ ปิดที่ 186.42 จุด ลดลง 1.90 จุด มูลค่าการซื้อขาย 163.64 ล้านบาท
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าพอใจกับราคาวันแรกที่หุ้นเข้ามาซื้อขาย และเชื่อว่าถ้าภาวะตลาดหุ้นดีขึ้นราคาหุ้นมีโอกาส ที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้อีกโดยระดับราคาจองที่กำหนดไว้ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน
"การที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงกว่านี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาเนื่องจากขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีทำให้นักลงทุนยังขาดความมั่นใจแต่ก็มีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทและการที่ราคาสามารถยืนเหนือจองได้ถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้" นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ โกลด์ไฟน์ได้ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมียอดขายประมาณ 950-1,000 ล้านบาท โดยใน 9 เดือนแรก บริษัทมียอดขายประมาณ 663 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าภายในปี 2548 จะมียอดขายเพิ่มขึ้น20-30% จากอุตสาหกรรมอัญมณีโดยรวมที่คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยมูลค่าตลาดรวมของอัญมณีอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท โดยเป็นอัญมณีแท้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทจะส่งออกสินค้าอัญมณีไปยังตลาดต่างประเทศ 100% โดยจะส่งออกไปยังยุโรป เช่นเยอรมนี,สวีเดน และเนเธอร์แลนด์แต่ บริษัทมีแผนที่จะขายอัญมณีในประเทศ ในลักษณะของการเปิดร้านของตัวเอง แต่จะใช้แบรนด์แนมใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนการขายในประเทศประมาณ 10-15%
"บริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2548 อีกประมาณ 10-20% จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1 ล้าน ชิ้นต่อปีทำให้บริษัทสามารถมียอดขายมากขึ้นและขยายตลาดไปในตลาดอเมริกาใต้ได้มากขึ้น" นางสาวศรีแพรกล่าว
นายพงศกร เที่ยงธรรม กรรมการผู้จัดการสายงานทุนธนกิจและตลาดทุน บล.ไซรัส ที่ปรึกษาทางการเงินเปิดเผยว่าพอใจกับราคาหุ้น ในวันแรก ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยและหุ้นใหม่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายราคาจะต่ำกว่าจองโดยราคาจองที่กำหนดไว้ในระดับ 6.20 บาทถือว่าเป็นระดับที่ต่ำน่าลงทุนเพราะจากบทวิจัยของโบรกเกอร์จะให้ราคาที่เหมาะสมในระดับหุ้นละ 7.50 บาท
วานนี้ (7 ธ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ 655.83 จุด ลดลง 8.01 จุด คิดเป็น 1.21% มูลค่าการซื้อ ขาย 15,915.39 ล้านบาท หลังมีแรงขายทำกำไรออกมามากในหุ้นกลุ่มสื่อสาร ส่งผลให้ดัชนีกลุ่ม ปิดตลาดที่ 100.82 ลดลง 2.76 จุด คิดเป็น 2.66% โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นฝ่ายขายสุทธิ 225.02 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 922.32 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 1,147.34 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า สาเหตุที่ทำ ให้ดัชนีปรับตัวลงมาก จากเรื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากที่สัปดาห์ก่อน หน้าอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนเกิดอาการกังวลเริ่มเทขายหุ้นออกมา "หุ้นไทยปรับลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งดัชนีอ่อนตัวต่ำกว่าแนวรับที่ 660 จุด จึงเกิดการขายออกมามากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากในช่วงปลายสัปดาห์จะมีวันหยุดยาวอีก เชื่อว่าหากนักลงทุนหายจากอาการตื่นตระหนก ดัชนีมีโอกาสดีดกลับได้เล็กน้อย"
โดยดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ มีแนวรับที่ 650-653 จุด และแนวต้านที่ 660-663 จุด
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ซีมิโก้ ระบุว่า แรงของนักลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งกังวลว่าค่าเงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นมาก่อนหน้าจะมีการปรับตัวอ่อนค่า จึงมีการขายทำกำไรในหุ้นออกมา
|
|
|
|
|