เวลาที่ยาวนานนับเนื่องได้ร้อยยี่สิบปี หากเปรียบเป็นชีวิตของมนุษย์ ก็คงชราภาพมากแล้ว
แต่ภายใต้ความแก่ชรานั้น ย่อมมีทั้งริ้วรอย สีสัน และเรื่องราวเล่าขานมากมาย
เช่นเดียวกับสถาบันการศึกษาแห่งนี้ โรงเรียนหลวงที่เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาอย่างเป็นระบบแห่งแรกของไทย
"โรงเรียนหลวงสวนกุหลาบ"
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นับเป็นสถานศึกษาเก่าแก่ ที่สืบเนื่องมาจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อปี
พ.ศ.2424 จากพระราชปณิธานของพระองค์ที่ว่า "เจ้านายราชตระกูล ตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นลงไปตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุด
จะให้มีโอกาสเล่าเรียนได้เสมอกัน" ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนหลวงแห่งนี้
และบ่งบอกถึงภารกิจของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ประวัติศาสตร์ย่อมมีหลายด้าน และบางด้านบางส่วนมิเคยได้รับการบันทึกไว้
หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงของยุคสมัยในขณะนั้น ต้องยอมรับว่าในห้วงเวลาดังกล่าว
นับเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของสยามประเทศ ท่ามกลางการคุกคามและถาโถมของอิทธิพลจากชาติตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงนามในสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษ ในรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งมีผลต่อการศึกษาโดยเป็นการเปิดสังคมไทยให้รับวิทยาการแผนใหม่ ในอัตราเร่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย
การจัดตั้งโรงพิมพ์ โดยหมอบรัดเลย์ มิชชันนารี เมื่อปี พ.ศ.2378 เพื่อใช้พิมพ์เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในราชอาณาจักร
ติดตามมาด้วยการตั้งโรงพิมพ์ภาษาไทยแห่งแรกขึ้นที่วัดบวรนิเวศฯ เพื่อพิมพ์หนังสือทางพุทธศาสนา
พร้อมๆ กับการเขียนแบบเรียนภาษาไทยเล่มใหม่ เพื่อขยายฐานความรู้ในสังคมไทยให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ล้วนแต่เป็นความพยายามที่จะทัดทานกระแสคุกคามจากโลกตะวันตกในห้วงเวลานั้นด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาบาวริ่งในรัชสมัยของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อปี พ.ศ.2398 ความตื่นตัวในการอุดช่องว่างความด้อยพัฒนาได้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคม
และเป็นจุดกำเนิดของกิจกรรมสมัยใหม่จำนวนมากในเวลาต่อมา
อิทธิพลของอังกฤษที่แพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นที่นิยมแพร่หลาย
ซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ยังครองพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎฯ
และทรงผนวช ก็ได้ศึกษาภาษาอังกฤษจนมีความเชี่ยวชาญ เพราะตระหนักว่าภาษาอังกฤษจะเป็นหนทางนำไปสู่วิชาการที่ก้าวหน้าของตะวันตก
และเมื่อได้เสวยราชสมบัติแล้ว ก็ได้ส่งเสริมให้พระราชโอรสและพระราชธิดา ได้มีโอกาสได้ศึกษาภาษาอังกฤษและวิทยาการต่างๆ
ของตะวันตกอย่างต่อเนื่อง
การรับสั่งให้มีการสืบหาครูฝรั่งจากเมืองสิงคโปร์ มาเป็น ผู้ถวายอักษรให้บรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดา
แต่ต้องไม่สอนศาสนาคริสต์ ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งในที่สุดได้โปรดเกล้าฯ ให้จ้าง
แอนนา เลียวโนเวนส์ (Anna Leonowens) สตรีชาวอังกฤษ ให้เข้ามารับหน้าที่นี้
ตามคำกราบบังคมทูลแนะนำของ วิลเลียม อดัมซัน ผู้จัดการบริษัทบอร์เนียว ที่สิงคโปร์
เมื่อปี พ.ศ.2405 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งผ่านพระราชดำริที่ว่า ความรู้ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารบ้านเมืองในอนาคต
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
ก็ได้ศึกษาภาษาอังกฤษกับนางแอนนา เลียวโนเวนส์ เรื่อยมาจนกระทั่งมีพระชันษาครบผนวชเป็นสามเณรตามพระราชประเพณี
ในปี พ.ศ.2408
เมื่อเสวยราชสมบัติแล้ว ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับ Mr.Francis G Patterson
ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2416 พร้อมกับให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับสอนภาษาอังกฤษอีกโรงหนึ่งที่ตึกสองชั้น
ริมประตูพิมานไชยศรีด้านตะวันออก ซึ่งการสอนของ Mr.Francis G Patterson ที่โรงเรียนแห่งนี้
ได้สร้างให้เกิดบุคคลสำคัญให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
หรือสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ กระทั่ง Mr.Francis G Patterson ลากลับประเทศอังกฤษ
ในอีก 5 ปีต่อมา
นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของโรงเรียนที่ดำเนินการโดยคณะมิชชันนารีทั่วอาณาบริเวณที่เรียกว่า
รัตนโกสินทร์ ในด้านหนึ่งย่อมเป็นแรงกระตุ้น ให้ต้องมีการวางรากฐานการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างยิ่งยวดในราชอาณาจักรสยาม
โดยเริ่มต้นจากการให้การศึกษาแก่เชื้อพระวงศ์ในราชสำนักเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะคลี่คลายไปสู่การให้ความรู้แก่ประชาชนวงกว้างเช่นในปัจจุบัน
"การเกิดขึ้นของโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในปี 2424 เป็นภาพสะท้อนของความพยายามในการสร้างความทันสมัยให้แก่สังคมไทย
โดยอาศัยการศึกษาแบบตะวันตกมาเป็นกลไกสำคัญ" ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์
อธิบายมูลเหตุแรกตั้งโรงเรียนหลวงแห่งนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากภูมิหลังของสำนักเรียนในสังกัดของคณะมิชชันนารี ที่กำลังแพร่ขยายเครือข่ายอยู่ในขณะนั้นจะพบว่า
หมอสอนศาสนาที่มีบทบาทสูงส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคณะหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ในคณะเพรสไบทีเรียน
ซึ่งในห้วงเวลานั้นได้จัดตั้งโรงเรียนแบบตะวันตกขึ้นบนที่ดินตำบลกุฎีจีน
(ซึ่งเป็นรากฐานของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ที่นับเป็นโรงเรียนราษฎร์แห่งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
ในเวลาต่อมา) ขณะที่กลุ่มมิชชันนารีชาวยุโรป ทั้งโปรตุเกส และฝรั่งเศส ที่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
และเป็นคู่แข่งขันกับอังกฤษในการล่าอาณานิคมในขณะนั้น ก็พยายามเผยแผ่ศาสนาตามแนวทางคาทอลิก
ควบคู่กับการสอนหนังสือแก่เด็กไทยด้วยเช่นกัน
ชาญวิทย์ระบุว่า รัฐไทยเชื่อในความเป็นมหาอำนาจของอังกฤษ และภาษาอังกฤษ
ว่าเป็นปัจจัยที่จะนำพาประเทศให้รอดพ้นจากการคุกคามของประเทศอื่นๆ ที่แผ่อิทธิพลเข้ามาแข่งขันกันอยู่ในภูมิภาค
อีกทั้งความใกล้ชิดที่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง มีต่อครูชาวอังกฤษในช่วงที่ผ่านมา
ทำให้อิทธิพลของอังกฤษในราชสำนักไทยขณะนั้นอยู่ในกระแสสูง การจัดวางระบบการศึกษาของไทยในห้วงเวลานั้น
จึงมีลักษณะที่โน้มเอียงไปในทางที่จะถอดแบบการศึกษาของอังกฤษอยู่ไม่น้อย
การจัดตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบขึ้นในพระบรมมหาราชวังในครั้งนั้น
เป็นส่วนหนึ่งในพัฒนาการศึกษาไทยในสมัย รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นพระราชปณิธานที่มีต่อการจัดการศึกษาอย่างชัดเจน
โดยพระองค์เชื่อว่า "การที่จะแก้ไขบ้านเมือง เห็นอย่างเดียว แต่ต้องจัดการศึกษา
กล่าวคือต้องคิดฝึกหัดผู้คนของเราขึ้นโดยเร็ว"
โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการจัดการเรียนในลักษณะที่ไม่ใช่โรงทานขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี
2414 ก่อนที่จะขยายมาสู่การตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษในกรมมหาดเล็กที่มี Mr.Francis
G. Patterson เป็นครูใหญ่ และท้ายที่สุดเป็นโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ซึ่งล้วนแต่เป็นประหนึ่งลำดับขั้นการทดลองเพื่อการจัดการศึกษาไทย
โดยรูปแบบการจัดที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ได้กลายเป็นตัวแบบในการจัดสร้างโรงเรียนสำหรับประชาชนขึ้นตามวัดและสถานที่ต่างๆ
ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ยังได้สะท้อนความมุ่งหมายที่จะตอบสนองความต้องการด้านกำลังพล
เพื่อเข้ารับราชการตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นกระทรวง ทบวง
กรม จากผลของการปฏิรูปราชการแผ่นดินในรัชสมัยดังกล่าวด้วย
"สังคมไทยเป็นสังคมราชการ สวนกุหลาบฯ ในสมัยนั้น จึงเป็นแหล่งผลิต แหล่งสร้างผู้คนเพื่อไปเป็นกำลังสำหรับราชการ
ก่อนที่จะมีการจัดวางระบบการศึกษาเพื่อผลิตกำลังคนรับใช้ราชการในที่อื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเติบโตขึ้นมาจากโรงเรียนฝึกหัดราชการพลเรือน"
แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการและศิษย์เก่าคนหนึ่ง ชี้ความสำคัญของสวนกุหลาบฯ
ผ่านยุคสมัยย้อนหลังกลับไป
การเป็นแหล่งผลิตผู้คนเข้าสู่ระบบราชการของสวนกุหลาบฯ ในทัศนะของแก้วสรร
จึงเป็นโอกาสให้มีนักเรียนที่เรียนดีมีความสามารถจากทุกท้องถิ่นของสยามประเทศ
เข้ามาเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ เพราะหน่วยงานราชการต้องการใช้ผู้คนเหล่านี้ในการบริหารกิจการบ้านเมือง
แม้จะมีจุดเริ่มต้นจากในวัง แต่ "สวนกุหลาบฯ ไม่ใช่โรงเรียนของพวก elite
หากเป็นแหล่งรวมของช้างเผือก ลูกชาวนา สามัญชน และเมื่อผู้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสรับราชการจนเติบโต
มีชื่อเสียงและสถานภาพทางสังคม ความรู้สึกว่าสวนกุหลาบฯ เป็นโรงเรียน elite
จึงเกิดขึ้นในชั้นหลัง" แก้วสรรย้ำ
ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษ โรงเรียนหลวงแห่งนี้ ได้มีโอกาสเป็นแหล่งผลิตบุคลากรด้านต่างๆ
ขึ้นเป็นหลักในการสนองงานและบริหารกิจการบ้านเมืองมาตามสมควร ซึ่งในด้านหนึ่งย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า
ในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น สังคมไทยยังมิได้เปิดกว้างขวางดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเลือกในเรื่องการศึกษา การดำรงอยู่ของโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
หรือเมื่อเป็นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จึงเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกที่มีอยู่น้อยในขณะนั้น
ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งอยู่ที่ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนั้น
ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับการวางพื้นฐานระบบการศึกษาของไทยที่เกิดขึ้นเมื่อ 120
ปีล่วงมาแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตลอดเรื่อยมาเมื่อมีการกำหนดหลักสูตรแห่งชาติ
หรือแม้กระทั่งในห้วงเวลาที่กำลังอยู่ระหว่างการปฏิรูปการศึกษา และการแสวงหาทิศทางที่เหมาะสมเช่นในปัจจุบัน
ซึ่งสะท้อนปัญหาพื้นฐานของสังคมการศึกษาไทยได้เป็นอย่างดีในอีกมิติหนึ่ง
จากหน่อเหง้ารากฐานที่เริ่มต้นขึ้นในฐานะโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ที่มีลักษณะเฉพาะชัดเจน
แปรเปลี่ยนมาสู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ที่มีสถานะเป็นโรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ สถานศึกษาแห่งนี้ ย่อมไม่แตกต่างจากโรงเรียนของรัฐแห่งอื่นๆ
ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายการรับนักเรียนและดำเนินรูปแบบการเรียนการสอน ตามหลักสูตรที่กรมวิชาการกำหนดเป็นแม่บท
ความคลี่คลายของบริบททางสังคม ซึ่งมิได้จำกัดโอกาสทางการศึกษาไว้เฉพาะในหมู่ชนชั้นนำทางสังคม
หากแต่ประชาชนทั่วไปก็มีโอกาสเข้ารับการศึกษาอย่างมีระบบระเบียบยิ่งขึ้น
ทำให้กรณีว่าด้วยความเป็นเลิศทางวิชาการของโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ปรับเปลี่ยนจากประเด็นของการมีนักเรียนได้รับทุนเล่าเรียนหลวง
หรือการเดินทางไปต่างประเทศเมื่อครั้งอดีต ไปสู่เรื่องราวของการสอบได้คะแนนเป็นอันดับที่หนึ่งของประเทศ
หรือสัดส่วนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มากกว่าโรงเรียนแห่งอื่นแทน
กรณีดังกล่าวนับเป็นแรงกระตุ้นและดึงดูด ให้นักเรียนที่เรียนดีจากทั่วทุกภูมิภาคต่างเดินทางมาสอบคัดเลือก
ด้วยหวังจะเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในโอกาสที่จะได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป
ซึ่งแน่นอนว่า กระบวนการสอบคัดเลือกย่อมส่งเสริมให้ปริมาณนักเรียนที่เรียนดีในโรงเรียนสวนกุหลาบฯ
ในห้วงเวลานั้นมีสัดส่วนมากกว่าที่อื่นๆ ด้วย
เมื่อมีการประกาศให้โรงเรียนแต่ละแห่งดำเนินนโยบายการรับนักเรียนในพื้นที่บริการ
ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวความคิดว่าด้วยการกระจายโอกาสและความเป็นเลิศทางวิชาการ
จากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงขนาดใหญ่ไปสู่โรงเรียนรอบนอก เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานทางวิชาการร่วมกัน
ในช่วงปี 2534-2535 ความท้าทายที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเผชิญจึงเกิดขึ้น
เพราะไม่มีต้นทุนเบื้องต้นที่เคยได้เปล่าเช่นในอดีตอีกแล้ว
กระนั้นก็ดี นโยบายการรับนักเรียนในพื้นที่บริการ ที่ได้รับการยอมรับในเชิงหลักการ
แต่ในทางปฏิบัติกลับได้รับการวิพากษ์ว่าเป็นนโยบายที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เพราะหากประเมินในเชิงคุณภาพแล้ว นโยบายดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้โรงเรียนแต่ละแห่งมีแนวโน้มจะด้อยคุณภาพลงไปเกือบจะพร้อมกัน
มากกว่าที่จะเป็นการเพิ่มพูนคุณภาพดังที่ตั้งใจไว้
ความเป็นเลิศทางวิชาการที่นักเรียนส่วนใหญ่มุ่งหมายจะได้รับจากโรงเรียน
จึงเปลี่ยนแปรไปสู่การสมัครเรียนในสถาบันกวดวิชา ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและแตกแขนงไปสู่รายวิชาต่างๆ
อย่างเฉพาะเจาะจง โดยมีเป้าประสงค์หลักอยู่ที่การเพิ่มโอกาสในการสอบแข่งขันเข้าสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
ซึ่งเกือบจะมีฐานะเป็นช่วงเวลาตัดสินชีวิตในอนาคตของนักเรียนเหล่านี้ไปแล้ว
"สิ่งที่โรงเรียนสอน ไม่ได้มุ่งไปที่การสอบเพื่อให้ได้คะแนน แต่ต้องการสะท้อนแนวความคิดและความเป็นมาของทฤษฎีต่างๆ
เพื่อบ่มเพาะปลูกฝังให้นักเรียนคิดเป็น ขณะที่สถาบันกวดวิชาจะเน้นที่การทำโจทย์เพื่อให้ได้คำตอบ
ได้คะแนน" สมพงษ์ รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยคนปัจจุบันอธิบาย
ธุรกิจสถาบันกวดวิชา กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่านับพันล้านบาทในแต่ละปี
ขณะที่ภาพของนักเรียนในทุกช่วงชั้นที่เดินทาง ไปเรียนกวดวิชาพิเศษในช่วงเย็น
และวันเสาร์อาทิตย์ กลายเป็นปรากฏการณ์ปกติที่คุ้นชินสายตามากขึ้นทุกที
ขณะที่ปัญหาด้านจิตสำนึกของบุคลากรทางการศึกษา ที่ต้องเผชิญกับภาวะการบีบรัดทางเศรษฐกิจอย่างหนัก
ก็ดูจะอยู่ในระดับที่ยากจะเยียวยา โดยมิพักต้องกล่าวถึงคุณภาพในเชิงวิชา
การที่ต้องพิสูจน์ทราบในเชิงประจักษ์อีกมาก
สมพงษ์ระบุว่า การเอาข้อสอบย้อนหลังห้าปี สิบปี มาวางเรียงกันแล้วทำโจทย์เฉพาะข้อที่ว่าด้วยแรงโน้มถ่วง
มันง่ายกว่าการที่จะสอนว่า Newton พบแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างไร มีประโยชน์เพียงใด
และสูตรการคำนวณมีที่มาอย่างไร "ครูอาจารย์จำนวนไม่น้อยเลยหันไปเอาดีกับการกวดวิชา
ติวข้อสอบ" แทนที่จะมารอรับเงินเดือนครู ที่ไม่มีทางเพียงพอต่อการยังชีพแบบพอเพียงในยุคสมัยปัจจุบัน
นอกจากนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ ที่กำหนดให้ผู้เรียนมีทางเลือกในการศึกษาหาความรู้ได้
3 ทาง ทั้งการเรียนรู้ในระบบโรงเรียนปกติ การเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน (การศึกษานอกโรงเรียน
: กศน.) และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย (Homeschool) ยิ่งทำให้สถานการณ์ของสถานศึกษาแต่ละแห่ง
มีแนวโน้มจะทรุดต่ำลงไปอีก
เพราะในอนาคตสถาบันกวดวิชาเหล่านี้ สามารถที่จะจัดตั้งขึ้นในฐานะที่เป็นทางเลือกของการเรียนรู้ตามอัธยาศัย
โดยสถาบันการศึกษาในระบบจะต้องให้การรับรองและรับโอนหน่วยกิต ที่ผู้เรียนทำได้เข้าสู่ระเบียนผลการเรียน
พร้อมกับมอบวุฒิการศึกษาของโรงเรียนให้แก่ผู้เรียนที่ได้ลงทะเบียนไว้ในระบบด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาพิจารณากิจกรรมนักเรียน ที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเสริมที่ช่วยสร้าง
ภูมิปัญญา และหนุนนำให้เกิดสำนึกความคิด ความรับผิดชอบในหมู่เยาวชน ซึ่งโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเคยเป็นต้นแบบมาอย่างยาวนาน
ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากระบบการศึกษาที่ครอบอยู่ขณะนี้เท่าใดนัก
ความเฟื่องฟูของกิจกรรมนักเรียนสวนกุหลาบฯ ที่ก้าวล้ำนำหน้าไปสู่การจัดงานสังคมนิทรรศน์
และวิทยาศาสตร์สัมพันธ์ ไล่เรียงไปถึงการจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการนักเรียน
และสภานักเรียน ล้วนสะท้อนความอิสระ และเสรีภาพทางความคิดของยุคสมัยได้เป็นอย่างดี
แต่ภายใต้เงื่อนไขทางสังคมที่คลี่คลายไป กิจกรรมนักเรียน จำนวนไม่น้อยจึงเป็นเพียง
"งานประจำที่ต้องทำสืบต่อกันไป" โดยมีคณาจารย์คอยติดตาม กำกับอย่างใกล้ชิด
และนักเรียนแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย
"ช่วงนี้ไม่มีการคิดเรื่องโครงงานใหม่ๆ ครับ เพราะลำพังเรื่องการทำแหวนรุ่น
ถ่ายภาพ ทำรูปเล่มหนังสือสมานมิตร เตรียมงานรับน้องใหม่ปีหน้า ก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว"
สมาชิกในคณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่ง เล่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้ฟัง
หนังสือสมานมิตร หรือหนังสือรุ่นประจำปีของนักเรียน เคยเป็นหนังสือที่ได้รับการจับตามอง
และเฝ้าติดตาม เพราะในหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งโรงเรียนแล้ว
ยังเป็นหน้าต่างบานใหญ่สำหรับนักเรียนในการแสดงออก ซึ่งทัศนะแนวความคิดที่มีต่อสังคมโรงเรียน
และสังคมภายนอกที่พวกเขาเป็นสมาชิกอยู่ได้ดีที่สุด
แต่คงไม่มีหนังสือสมานมิตรเล่มใด ได้รับการกล่าวถึงมาก เท่า "ศึก.." หนังสือสมานมิตรประจำปี
2517 ซึ่งได้บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสิงหาคม 2516-สิงหาคม 2517
รวมทั้งได้ตีพิมพ์บทความวิชาการเกี่ยวกับระบบการศึกษา และปัญหาทางสังคมไว้อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาจากเหตุการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในโรงเรียน
ถึงขั้นมีการเผาทำลายหนังสือ "ศึก..." ในช่วงบ่ายของวันที่มีการแจกจ่ายหนังสือเล่มนี้
"เนื้อหาของ "ศึก..." โดยรวมเป็นวิชาการ แต่มันมีลักษณะท้าทาย ท้าทายค่านิยมเรื่องรักโรงเรียน
รักสถาบัน ซึ่งเป็นค่านิยม ที่ไม่ค่อยมีเหตุผลหนักแน่นรองรับ เป็นเพียงสิ่งฟุ่มเฟือยที่คนในวัยเด็กสามารถครอบครองได้
แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เข้าสู่วัยทำงาน เรื่องเหล่านี้อาจเป็นยิ่งกว่าน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเสียอีก"
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งในปี 2517
เขาเป็นประธานนักเรียน และรับผิดชอบการจัดทำหนังสือศึก โดยมีประชา สุวีรานนท์
เป็นสาราณียากร กล่าวไว้ใน "คุยกับคนเก่า ณ ที่เดิม" ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือสมานมิตรประจำปี
2527 หรือ 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวไว้อย่างน่าฟัง
แต่ในห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 120 ปีแห่งการสถาปนาโรงเรียนของเหล่าบรรดาศิษย์เก่า
ศิษย์ปัจจุบัน รวมถึงผู้ปกครองนักเรียนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งต่างชื่นชมกับประวัติความเป็นมาที่เนิ่นนานมากกว่าศตวรรษของโรงเรียน
ที่เก่าแก่และเคยมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยกำลังดำเนินไปนี้ จะมีใครสักกี่คนคิดถึงการก้าวย่างต่อไปในโลกที่เป็นจริงของยุคสมัยแห่งปัจจุบันบ้าง