|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
TKS ถือหุ้นใหญ่ในสยามเพรสฯ 85% หวังขยายธุรกิจครบวงจร พร้อมดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 2 ปี หลังแยกธุรกิจออก จากกันอย่างชัดเจน คาดปีนี้ยอดขาย TKS ประมาณ 8 พันล้านบาท แต่กำไรโต 10% ผลจากการตั้งสำรองหนี้เสียจากการปล่อยสินเชื่อให้ดีลเลอร์ ส่วนปี 48 ฟันยอดขายโตกว่า 1 หมื่นล้านบาทและกำไรพุ่ง 40% จากโครงการ รัฐหนุนและไม่มีภาระสำรองหนี้เสีย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บริษัท ที.เค.เอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (TKS) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้ตกลงเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท สยามเพรส แมเนจเม้นท์ จำกัด จำนวน 899,997 หุ้น ในราคาหุ้นละ 11.65 บาท ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,484,965.05 บาท การซื้อหุ้นดังกล่าวจะมีผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท สยามเพรส แมเนจเม้นท์ จำกัด เพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 85% และสถานะของบริษัทดังกล่าวจะเปลี่ยนจากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย โดยการซื้อหุ้นครั้งนี้ TKS ซื้อหุ้นเพิ่มจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) 50% และบริษัท สยามพาณิชย์ ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) 15% โดยใช้เงินลงทุน 46.28 ล้านบาท
การที่ TKS กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จะทำให้บริษัทได้ประโยชน์ในการขยายฐานธุรกิจให้มีบริการครอบคลุมและสร้างความแข็งแกร่งแก่กลุ่มบริษัท ขนาดของรายการเท่ากับ 11.39% จึงไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องรายงาน ตามประกาศการเปิดเผยเกี่ยวกับได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน
หลังจากการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้แล้วเสร็จ บริษัทคาดว่าไม่เกิน 2 ปี บริษัทจะแยกธุรกิจสิ่งพิมพ์ของ TKS มารวมกับบริษัท สยามเพลสฯ และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดของการพิมพ์ ซึ่งปัจจุบัน TKS จดทะเบียนอยู่ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ และหลังการซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าวจะทำให้ปี 48 บริษัทรับรู้รายได้จากบริษัทลูกเพิ่มขึ้น
สำหรับ TKS ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 46 ที่มีรายได 6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 30% ส่วนกำไร ของบริษัทในปีนี้ก็คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 46 ซึ่งมีอัตราการเติบโตของกำไร ประมาณ 10% การที่กำไรของบริษัทเติบโตค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริษัทได้มีการสำรองหนี้เสียที่เกิดจาก ดีลเลอร์ทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองในปีนี้ประมาณ 40-50 ล้านบาท
โดยรายได้ของ TKS ที่เพิ่มขึ้น มาจากบริษัทในเครือที่ทำรายได้เพิ่ม ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่ง TKS ยังมีเป้าหมายที่จะจ่ายเงินปันผล ตามนโยบายที่ไม่ต่ำกว่า 70% ของกำไรสุทธิ จากปี 46 ซึ่งบริษัทจ่ายปันผลหุ้นละ 20 สตางค์
นายสุพันธุ์คาดการณ์รายได้ในปี 48 ว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% และบริษัทจะมีการเติบโตของกำไรไม่ต่ำกว่า 40% ซึ่งรายได้และกำไรที่มีอัตราการเติบโตสูง ก็มาจากธุรกิจไอทีที่ยังมีการเจริญเติบโต โดยเฉพาะปี 48 โครงการของรัฐบาลก็จะมีส่วนสนับสนุนการเติบโต ของธุรกิจไอที และในส่วนของภาคเอกชนธุรกิจไอทีเริ่มไปมีส่วนในชีวิตประจำวันมากขึ้น ดังนั้น แม้ปีหน้าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่ธุรกิจไอที ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ในส่วนของการสำรองหนี้เสีย ในปีหน้าก็จะปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทไม่ต้อง มีการตั้งสำรองเพิ่ม เนื่องจากได้ตั้งสำรองครบในปีนี้แล้ว
โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทยังมาจากธุรกิจไอที 90% และมาจากธุรกิจการพิมพ์ 10%
สำหรับ TKS ได้มีการออกและจัดสรรให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจและประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติหน้าที่แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย โดยเป็นชนิดระบุชื่อผู้ถือ และไม่สามารถโอนเปลี่ยนมือได้และให้ฟรี มีอัตราการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย สามารถซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ 1 หุ้นราคาใช้สิทธิในการ ซื้อหุ้นสามัญ ราคาหุ้นละ 3.04 บาท โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
พร้อมกันนี้ มีจำนวนหุ้นสามัญ ที่สำรองไว้เพื่อการใช้สิทธิของใบสำคัญ แสดงสิทธิจำนวน 2,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 1 ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ3 ปีนับจากวันออก ใบสำคัญแสดงสิทธิ(วันที่ออกใบแสดงสิทธิ คือ 15 ธ.ค. 46) ระยะเวลา การใช้สิทธิ มิ.ย. และ ธ.ค. ปี 47-49
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 15.80 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 26.83 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 43.18 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 35.23 ล้านบาท
|
|
|
|
|