|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กลุ่มสหวิริยาเตรียมยื่นขอบีโอไอโครงการถลุงเหล็ก 30 ล้านตันมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ฟุ้งสถาบันการเงินทั้งไทยและเทศแห่เสนอเงินกู้เพียบ พร้อมวอนรัฐสนับสนุนโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมที่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสผ. เพราะต้องทำท่าเรือน้ำลึก 3แสนตันและโรงถลุงเหล็ก 2 โรง
นายวิทย์ วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือสหวิริยา เปิดเผยความคืบหน้าโครงการโรงถลุงเหล็กขนาด 30 ล้านตันต่อปี มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทว่า กลุ่มสหวิริยาเตรียมยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งกลุ่มสหวิริยาต้องการให้รัฐสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.)จำนวน 6 รายการ แบ่งเป็นโครงการถลุงเหล็ก 2โรง โครงการท่าเรือน้ำลึกขนาด 3 แสนตัน 2 ท่า และโครงการนิคมอุตสาหกรรม 2 นิคมฯ
ทั้งนี้โครงการโรงถลุงเหล็กจำเป็นต้องลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาด 3แสนตัน เพื่อรองรับการนำเข้าสินแร่เหล็กจากต่างประเทศ เพราะท่าเรือประจวบที่กลุ่มสหวิริยาใช้บริการอยู่นั้นไม่สามารถรองรับโครงการดังกล่าวได้ ขณะเดียวกันรัฐควรจัดหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในโครงการด้วยจำนวน 150-200 ล้านลบ.ม./ปี และกระแสไฟฟ้าขนาด 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสหวิริยาจะลงทุนโรงไฟฟ้าเอง 50%ที่เหลือจะซื้อจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
"เราคงต้องดูว่าจะมีเงื่อนไขพิเศษให้กับโครงการนี้มากแค่ไหน เพราะโครงการดังกล่าวใช้เงินสูงถึง 5 แสนกว่าล้านบาท และถ้าเต็มโครงการจะใช้เงินถึง 7 แสนล้านบาท หากรัฐให้สิทธิประโยชน์เท่าโครงการอื่น ก็จะไม่ดึงดูดให้ลงทุน และหากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมไม่ผ่านก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศต้องการให้เราไปลงทุนโครงการโรงถลุงเหล็ก เช่นจีนเสนอให้ทั้งที่ดิน ท่าเรือ ไฟฟ้า น้ำ ถนนและเส้นทางรถไฟ แต่เราเกิดในไทยอยากสร้างโรงถลุงในไทย" นายวิทย์กล่าว
หลังจากโครงการดังกล่าวผ่านการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว บริษัทฯก็จะดำเนินการหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศสนใจที่จะปล่อยสินเชื่อโครงการดังกล่าว โดยโครงการดังกล่าวจะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2 ต่อ 1 เท่า ซึ่งการลงทุนในเฟสแรก คาดว่าจะกลุ่มสหวิริยาจะลงทุนเองทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมทุน แต่เฟสถัดไปจะพิจารณาหาพาร์ทเนอร์ร่วมทุนด้วย ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีนและยุโรปสนใจที่จะเข้าร่วมทุนโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ สหวิริยาได้ยื่นเสนอของลงทุนโครงการถลุงเหล็กขนาด 30 ล้านตันต่อปีต่อกระทรวงอุตสาหกรรม โดยจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 5 เฟสภายในเวลา 15 ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 5.24 แสนล้านบาท และถ้าเต็มโครงการจะใช้เงินลงทุนสูงถึง 7 แสนล้านบาท โดยเฟสแรกจะดำเนินการโรงถลุงขนาด 5 ล้านตัน เสร็จในปี 2550 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท เฟส 2 ลงทุน 1,685 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังผลิต 4. 5 ล้านตันต่อปีในปี 2553 เฟส 3 ลงทุน 1,875 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังการผลิต 5 ล้านตันต่อปีเสร็จปี 2556 เฟส 4 ลงทุนประมาณ 3,495 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังการผลิต 8 ล้านตันต่อปีเสร็จในปี 2559 และเฟสที่ 5 ลงทุน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังผลิต 8 ล้านตันต่อปี เสร็จในปี 2562
"โรงเหล็กใหญ่ๆ ติดอันดับโลกจะมีกำลังการผลิตระดับ 30-40 กว่าล้านตันขึ้นไป เราจึงเลือกขนาด 30 ล้านตัน เพื่อความคุ้มทุน ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะต้องสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งสินแร่เหล็กขนาด 3 แสนตันด้วย และที่เหมาะก็คือที่บางสะพาน เพราะเป็นน้ำลึก ส่วนเทคโนโลยีเราจะต้องเปิดประมูลการแข่งขันใครเสนอมาดีสุดเราก็จะเลือก" นายวิทย์เคยกล่าว
|
|
|
|
|