|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้บริหารอีจีวียกโขยงตบเท้าลาออกรวด 8 คน ผลพวงควบรวมเมเจอร์ฯ "ประสงค์-โสภัชย์-เกรียงศักดิ์" แห่งอีจีวีเรียงคิวยื่นใบลาออกมีผล 1 ม.ค. 48 ดันเสริมศักดิ์ขึ้นแท่นกรรมการผู้จัดการ เผยหลังรวมกับเมเจอร์ลดค่าใช้จ่ายการตลาด 30% ล่าสุดจับมือเมเจอร์จัดแคมเปญใหญ่ฉลองเทศกาลปีใหม่ หวังขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม 20% ส่วนทิศทางปีหน้ามีแผนจัดเกรดโรงภาพยนตร์ 3-5 ดาวและทำแคมเปญร่วมกันมากขึ้น
นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่อีจีวีควบรวมกิจการกับเมเจอร์แล้วได้มีการปรับเปลี่ยนในส่วนโครงสร้างภายในองค์กรหลายตำแหน่งด้วยกัน ขณะนี้ได้มีการปรับทีมผู้บริหารใหม่ 8 ราย แทนผู้บริหารเก่าที่ได้ลาออกไป 8 ราย อาทิ นายประสงค์ รุ่งสมัยทอง ผู้อำนวยการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด นายโสภัชย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มการตลาด และนายเกรียงศักดิ์ เครือวัฒนกุล ผู้อำนวยการบริหาร สายการพัฒนาธุรกิจ และรายอื่นๆ ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป
สำหรับโครงสร้างใหม่ของอีจีวีในปัจจุบันจะมีนายวิชัย พูลวรลักษณ์เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง เดิมตำแหน่งผู้อำนวยการสายการเงิน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ นางสาวนิชากร อันมหาพงษ์ เดิมดูด้านไอเอ็มซีย้ายมาดูแลด้านการตลาดในตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสสายการตลาด และนางสาวหทัยชล ติวะสุริยะเดช ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ
ส่วนคณะทำงานส่วนกลางของทั้งอีจีวีและเมเจอร์จากเดิมที่มี 6 คน แบ่งเป็นผู้บริหารจากอีจีวี 3 คน คือ นายประสงค์ รุ่งสมัยทอง นายโสภัชย์ สิทธิสมวงศ์ และนายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง และผู้บริหารจากเมเจอร์ 3 คน คือ นายไบรอัน ฮอลล์ นายอนวัช องค์วาสิฎฐ์ และนายฉัตรภูมิ ขันติวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีการเงิน โดยมีนายวิชัย พูลวรลักษณ์ และนายวิชา พูลวรลักษณ์ เป็นประธานร่วมของคณะทำงาน ปัจจุบันปรับเป็นตัวแทนจากเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ 3 คน ได้แก่ นายวิชา พูลวรลักษณ์ นายไบรอัน ฮอลล์ และนายเฮสเตอร์ ชิว ส่วนอีจีวีเหลือ 2 คน คือ นายวิชัย พูลวรลักษณ์ และนายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง
ปัจจุบันบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ถือหุ้นของอีจีวี เอนเตอร์เทนเมนท์ 100% ส่วนอีจีวี เอนเตอร์เทนเมนท์ถือหุ้นของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ 17% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งสัดส่วน 17% มาจากการที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์เพิ่มทุนจดทะเบียนประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
นายอนวัช วงค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีหน้าซึ่งถือว่าเป็นปีแห่งเซ็กเมนต์เทชั่นของ เมเจอร์และอีจีวีจึงมีแนวคิดขยายโรงภาพยนตร์โดยการแบ่งระดับโรงเป็น 3-5 ดาวตามทำเลที่ตั้งและกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ทั้ง 2 ค่ายมีแต่โรงระดับ 4-5 ดาวแล้วและสยามพารากอนระดับ 6 ดาว ส่วนระดับ 3 ดาวกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างแบรนด์ 3 ดาวอยู่ ภายใต้คอนเซ็ปต์อี-ซีเนม่า ซึ่งจะขายตั๋วราคาถูกประมาณ 80 บาท โดยคอนเซ็ปต์นี้จะเหมาะกับสาขาเดิมตามรอบๆ กรุงเทพฯ หรือปริมณฑล
"ทิศทางการทำตลาดในปีหน้าปีหน้าเมเจอร์และอีจีวีมีโครงการทำแคมเปญขนาดกลางและใหญ่ร่วมกันมากขึ้น โดยจะเน้นการทำตลาดในส่วนของการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และสร้างความถี่ให้คนมาดูหนังมากขึ้น โดยมีแผนนำระบบความคิดจากต่างประเทศซึ่งเป็นของใหม่เข้ามาพัฒนาระบบความคิดของเรา คาดว่าจะได้เห็นในช่วงต้นปี 2548"
ล่าสุดเมเจอร์และอีจีวีทุ่มงบ 10 ล้านบาท จัดแคมเปญร่วมกันเป็นครั้งแรก "มูฟวี่ กิฟท์ เซเลเบรชั่น" โดยได้ออกบัตรของขวัญอิเล็กทรอนิส์ "กิฟท์ การ์ด" เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ในกลุ่มที่ต้องการเลือกซื้อของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ และกระตุ้นให้คนมาดูหนังของ2 ค่ายมากขึ้นตลอดปี 2548 โดยบัตรนี้สามารถชมภาพยนตร์ได้ทั้งเมเจอร์และอีจีวีรวม 27 สาขา 240 โรง และ 55,576 ที่นั่ง บัตรขายในราคา 1,000 บาท มี10 ที่นั่ง เปิดขายตั้งแต่ 1 ธ.ค. 47 -31 ม.ค. 48 รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษให้ส่วนลดค่าตั๋วหนังในกลุ่มนักเรียนและผู้หญิง
"แคมเปญนี้คาดว่าจะทำให้ฐานลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมาใช้บริการเพิ่มขึ้น 20% และลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น คาดว่าจะขายบัตรกิฟท์ การ์ดได้ 40,000 ใบ"
ทั้งนี้ หลังจากการควบรวมกิจการของ 2 ค่ายพบว่า สามารถช่วยลดค่าการตลาดลงประมาณ 30% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเป็น 70% จากตลาดรวมของธุรกิจโรงภาพยนตร์ 3,500 ล้านบาท คาดว่าปีหน้าแชร์จะเพิ่มเป็น 75% ในขณะที่อุตสาหกรรมรวมคาดการณ์ว่าจะโต 15%
|
|
|
|
|