|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ ธันวาคม 2547
|
|
ไม่น่าเชื่อว่า ความหิวกระหายในพลังงานจะสามารถทำให้ศัตรูคู่อาฆาตเก่าแก่อย่างอินเดียกับปากีสถาน จะหันกลับมาจูบปากกันได้
อินเดียกับปากีสถานเพิ่งตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยอินเดียจะวางท่อก๊าซธรรมชาติความยาว 2,700 กิโลเมตร จากอิหร่านมายัง Rajasthan ในอินเดีย โดยต้องผ่านปากีสถาน ซึ่งจะได้ค่าธรรมเนียมการขนส่งถึง 330 ล้านดอลลาร์ บวกกับจะได้รับส่วนแบ่งก๊าซมาใช้ด้วย นอกจากนี้ยังจะได้สิทธิ์ซื้อน้ำมันดีเซลจากอินเดีย ในขณะที่อินเดียงานนี้ประหยัดค่าขนส่งไปได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี
เมื่อเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างก้าวกระโดด อินเดียก็เริ่มหิวกระหายในพลังงานทั้งน้ำมัน ก๊าซและไฟฟ้า และทำให้อินเดียต้องเริ่มใช้ "การทูตเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำมัน" ซึ่งไม่แต่ใช้กับปากีสถานเท่านั้น แต่อินเดียยังใช้การทูตน้ำมันนี้ ไปทั่วภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ
บริษัท Oil & Natural Gas Corp (ONGC) บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอินเดียได้ทำข้อตกลงกับพม่า ในการเข้าไปสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซในพม่า และยังกำลังเจรจากับบังกลาเทศเพื่อขอซื้อก๊าซ และขอวางท่อส่งก๊าซจากพม่าผ่านบังกลาเทศมายังอินเดีย ซึ่งหากราบรื่นอินเดียยังจะได้ประโยชน์อีกต่อ ในการลดความตึงเครียดตามแนวพรมแดนที่ติดต่อกันระหว่างอินเดียกับบังกลาเทศ นอกจากนี้ อินเดียยังเล็งที่จะซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากเนปาลซึ่งมีอย่างเหลือเฟืออีกด้วย
จากการประเมินของคณะกรรมการวางแผนแห่งชาติของอินเดีย อินเดียจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 3 เท่า ในช่วง 20 ปีข้างหน้า เพื่อที่จะหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วของตนให้เดินหน้าต่อไป นอกจากนี้ยังต้องการพลังงานจากน้ำมันและก๊าซสำหรับรถยนต์และครัวเรือน
แต่อินเดียมีแหล่งสำรองพลังงานน้อยยิ่งกว่าชาติเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่อย่างจีนเสียอีก โดยอินเดียนำเข้าน้ำมันถึง 73% โดยส่วนใหญ่มาจากตะวันออกกลาง โดยต้องใช้เงินถึง 21,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเงินที่จะต้องเสียไปกับการซื้อพลังงานนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2030 อินเดียจะต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซถึง 90%
ONGC เป็นหัวหอกของรัฐบาลอินเดียในการแสวงหาแหล่งน้ำมันและก๊าซแหล่งใหม่ๆ ทั่วโลก โดยผ่านทางบริษัทในเครือ ONGC Videsh ซึ่งเข้าไปซื้อหุ้นในบ่อน้ำมันต่างๆ ทั่วโลก และซื้อสิทธิ์ในบ่อน้ำมันที่กำลังจะขุดเจาะในอนาคต กลยุทธ์ของอินเดียคือ ไปยังประเทศที่ร่ำรวยน้ำมัน ที่บริษัทสหรัฐฯ ยังไม่เคยไป หรือไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่อินเดียมีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนาน
ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา ONGC Videsh ได้ทุ่มเงินลงทุนไปแล้ว 11,000 ล้านดอลลาร์ ในโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 14 แห่งในซูดาน รัสเซีย เวียดนาม อิหร่าน อิรัก และพม่า
แต่ไม่ว่าอินเดียจะไปหาน้ำมันที่ไหน ก็มีจีนตามติดเป็นเงา และบางครั้งยังถูกบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่งของจีน ยื้อแย่งเอาสัมปทานพลังงานไปอย่างหน้าตาเฉย ด้วยความที่มีเงินหนากว่า ดังนั้น อินเดียจึงต้องพึ่งอิทธิพลทางการทูตของตน อย่างเช่น การแย่งชิงหุ้น 20% มูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ในบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง Sakhalin I ของรัสเซียในปี 2001 ซึ่งในที่สุดอินเดียสามารถซื้อหุ้นตัวนี้ได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียที่มีมายาวนานถึง 50 ปี
การทูตน้ำมันยังจะทำให้ชาติยักษ์ใหญ่ในเอเชียใต้อย่างอินเดีย สามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอาเซียนได้อีกด้วย โดยผ่านโครงการตัดถนนสายใหม่ๆ การเชื่อมต่อเครือข่ายจ่ายกระแสไฟฟ้า และการวางท่อส่งก๊าซจากชาติอาเซียนบางชาติไปยังอินเดีย ซึ่งนับเป็นการเปิดทวีปเอเชียอย่างแท้จริง
สุดท้ายหลายคนอาจยังสงสัยว่า การทูตน้ำมันจะช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่อินเดียมีกับประเทศอื่นๆ มายาวนานได้จริง หรือคำตอบอยู่ที่หากอินเดียไม่ต้องการให้เกิดการขาดแคลนพลังงานขึ้นในประเทศของตน ซึ่งจะขัดขวางการทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่ของโลก อินเดียก็คงจะไม่ยอมให้ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ใดๆ มาเป็นอุปสรรคขัดขวางนโยบายการทูตเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานของตน
|
|
|
|
|