Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 พฤศจิกายน 2547
"คูดู"ตั้งบริษัทร่วมทุนทุ่ม1,500ล.ลุยอสังหาฯ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ไรมอน แลนด์, บมจ.
คูดู, บจก.
อาเธอร์ นาโปลิตาโน
Real Estate




"คูดู" ประกาศตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่กับบริษัทคนไทยและกองทุนจากสิงคโปร์ ในไตรมาส 1 ปี 48 เม็ดเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้า 3 ปีพัฒนา 4 โครงการ ทั้งคอนโดฯ, บ้านเดี่ยว และรีสอร์ต ต้นปี 48 ประเดิมบุกตลาดรีสอร์ต 2 โครงการที่กระบี่ และสมุย แจงต้นเหตุถอนเงินลงทุนโครงการเดอะ ล็อฟท์ เย็นอากาศ เนื่องจากบริษัทร่วมทุนใหม่ไม่ต้องการให้ร่วมลงทุน

นายอาเธอร์ นาโปลิตาโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท คูดู จำกัด เปิดเผยถึงยกเลิกการร่วมทุนกับบริษัทไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาโครงการเดอะ ล็อฟท์ เย็นอากาศ ซึ่งคูดูถือหุ้นในสัดส่วน 45% โดยให้เหตุผลว่าคูดูจะร่วมทุนใหม่กับอีก 2 บริษัทในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งทางบริษัทร่วมทุนไม่ต้องการให้คูดูไปร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ ที่มีการพัฒนาโครงการอสังหาฯเช่นเดียวกัน

"พันธมิตรใหม่ที่เป็นบริษัทคนไทยไม่ต้องการให้บริษัทร่วมลงทุนกับบริษัทคนไทยอีก เพราะเกรงว่าการบริหารและการพัฒนาจะทับซ้อนกัน จึงให้บริษัทยกเลิกการร่วมทุน" นายอาเธอร์กล่าว

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทางไรมอนแลนด์ ได้ให้เหตุผลการถอนทุนของคูดูว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการให้มีขนาดเล็กลงและ เพิ่มจำนวนยูนิต ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มจากเดิมลงทุน 750 ล้านบาท เป็น 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งทางคูดูเองไม่มีเม็ดเงินในการเพิ่มทุนที่เพียงพอ เพราะมีโครงการที่ทางคูดูพัฒนาขึ้นมาเอง

นายอาเธอร์ กล่าวถึงการร่วมทุนใหม่ว่า ในปลายไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัทจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ 2 พันธมิตรใหม่ในสัดส่วนการลงทุนเท่าๆ กัน โดยมีเม็ดเงินลงทุนรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยพันธมิตรใหม่ดังกล่าวเป็นบริษัทของคนไทย และกองทุนจากประเทศสิงคโปร์

สำหรับแผนการลงทุนใน 3 ปีแรก พัฒนา 4 โครงการ คาดว่าต้องใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรก ที่จังหวัดกระบี่เป็นโครงการรีสอร์ต ในต้นปี 2548 และโครงการวิลล่า จำนวน 30 ยูนิต บนเนื้อที่ 25 ไร่ ที่ดินใกล้กับโรงแรมโฟร์ซีซั่น เกาะสมุย สำหรับรายละเอียดและรูปแบบโครงการอยู่ระหว่างการออกแบบ ส่วนในช่วงปลายปี 2548 พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และในปี 2550 พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการต่างๆของบริษัทร่วมทุนดังกล่าว จะเน้นไปที่ตลาดระดับบนเป็นหลัก รวมถึงตลาดระดับกลางซึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 5-6 ล้านบาท

นายอาเธอร์ กล่าวว่า นอกจากการตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ในเดือนมกราคม 2548 จะมีการแถลงข่าวการรวมตัวกับพันธมิตรอีก 2 ราย ได้แก่

บริษัท ชินคาร่า จำกัด ผู้พัฒนาโครงการไฟคัสเลน คอนโดมิเนียม ส่วนอีกบริษัทเป็นผู้พัฒนาโครงการในย่านหัวหิน โดยการร่วมทุนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อตั้งเป็นพันธมิตรภายใต้ชื่อ "Smaller Developer Association" ในการร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในหลายๆ ด้าน อาทิ ด้านการตลาด การบริหารงาน รวมถึงประสบการณ์ในการดำเนินงาน เพื่อให้แต่ละบริษัทมีความเข้มแข็งขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่มีแผนในการร่วมลงทุนแต่อย่างใด ส่วนในอนาคตนั้นหากภาวะเศรษฐกิจและตลาดเหมาะสมอาจร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯก็เป็นได้

สำหรับแผนการลงทุนของคูดู ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ เดอะ ทรี สาทร เป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 4 ยูนิต และบ้านแฝด 16 ยูนิต รวม 20 ยูนิต บนเนื้อที่ 9 ไร่ ในซอยสาทร 1 ราคาขายระหว่าง 37-48 ล้านบาท ซึ่งในมีเพียง 1 ยูนิต ราคา 90 ล้านบาท

ด้านนายอภิสิทธิ์ ลิ้มล้อมวงศ์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารงานขายโครงการ เดอะ ทรีส์ กล่าวว่า ปัจจุบันเดอะ ทรีส์ มียอดขายแล้ว 5 ยูนิต รวมถึงบ้านราคา 90 ล้านบาทดังกล่าวด้วยโดยลูกค้าที่ซื้อเป็นชาวต่างชาติ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ประมาณปลายปี 2548

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงภาพรวมของบ้านระดับบนที่มีราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปว่า ในรอบปี 2547 มีโครงการบ้านราคาแพงเข้า สู่ตลาดเพียง 2,000 ยูนิตเท่านั้น ในจำนวนดังกล่าวได้ขายไปแล้ว 40% หรือประมาณ 800 ยูนิต ส่วนยูนิตที่เหลือจำนวน 1,200 ยูนิต คาดว่าจะสามารถระบายออกไปได้ภายใน 2 ปี อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าความต้องการบ้านระดับบน ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของโครงการระดับบนคือ ทำเลที่ต้องอยู่ในเมือง ซึ่งหาได้ยากและมีราคาแพงไม่เหมาะในการพัฒนา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถลงทุนได้ ส่งผลโครงการระดับดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยรวมถึงคู่แข่งน้อย ตามไปด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us