RGR ฟุ้งปี 48 คาดจะมีรายได้กว่า 11,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 47% จากปี 47 หลังเทกโอเวอร์โรงแรม เพิ่มอีก 2 แห่ง ส่วนการเข้าไปเทนเดอร์ออฟเฟอร์ RHC เพื่อเกื้อหนุนธุรกิจ ระบุไม่มีความขัดแย้งกับคอมลิ้งค์ แม้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เหมือนกัน ซึ่งปีหน้าจะรับรู้รายได้เต็มๆ ปีจาก RHC กว่า 1 พันล้านบาท เล็งเข้าถือหุ้น 100% ในอีก 2 โรงแรม
นางสาวปรารถนา มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท รอยัล การ์เด้น รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (RGR) เปิดเผยว่า หลังจาก ที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มตลอดจนการเทกโอเวอร์โรงแรมมาหลายแห่ง ทำให้บริษัทตั้งเป้าอัตราเติบโตรายได้ในปี 48 อยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเพิ่มขึ้น 30% แบ่งเป็นค่าโรงแรมประมาณ 4-5 พันล้านบาท ค่าอาหารประมาณ 6,000 ล้านบาท จากปี 47 ที่คาดว่าทั้งปีจะมีรายได้ 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าอาหาร 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57% ของรายได้รวม และค่าโรงแรมประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของรายได้รวม โดยส่วนที่เหลือจะมาจากค่ารีเทล พร็อพเพอร์ตี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ แอนด์ สปา
ทั้งนี้ บริษัทได้เข้าไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 100% ในโรงแรม เจ ดับบลิว แมริออท ภูเก็ต รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่มีจำนวนห้องพัก 265 ห้อง รวมทั้งจะเข้าไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุน 100% ในโรงแรมมันดาลา สปา ที่ประกอบกิจการทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน และการเข้าไปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงแรมราชดำริ (RHC) เป็น 57.7% จากเดิมถืออยู่ 49.3% ซึ่งรายได้จากโรงแรมเจ ดับบลิว แมริออทฯ จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท และ RHC จะมีรายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท โดยจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้เต็มๆ นับจากปี 48
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา RGR ได้ประกาศการลงทุนในกลุ่มโรงแรมอนันตรา รีสอร์ทแอนด์สปา เพิ่มอีก 2 แห่ง และเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา RGR ได้ประกาศเสนอหุ้นทั้งหมด 2 บริษัท เดอะไมเนอร์ฟู้ด กรุ้ป และจะดำเนินการเพิกถอนหุ้นของเดอะไมเนอร์ฟู้ด กรุ้ป จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมนี้ โดยการลงทุนทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป
นางสาวปรารถนากล่าวต่อว่า RGR ยังได้เข้าไปซื้อหุ้นในโรงแรม อนันตรา รอยัล โคโค่ปาล์ม รีสอร์ต แอนด์สปา เกาะพังงา จากผู้ถือหุ้นเดิม คิดเป็นสัดส่วนการลงทุนเท่ากับ 40% โดยมีมูลค่าการลงทุนในหุ้น 55 ล้านบาท และ RGR เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RHC เป็น 57.7% เพราะเห็น ว่า RHC ถือเป็นโรงแรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับ RGR ได้เป็นอย่างดี คุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถเข้าไปควบคุมกิจการได้แล้ว ทั้งนี้การที่เข้าไปถือหุ้น ใหญ่ใน RHC สามารถช่วยเกื้อหนุนธุรกิจต่อกัน โดยถือว่าเป็นโรงแรมศูนย์กลางในการส่งต่อลูกค้าได้
"และที่เราเข้าถือหุ้นใหญ่ใน RHC ถึง 57.7% เพราะเราไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทคอมลิ้งค์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เช่นกัน และเราสามารถทำงานร่วมกับทางคอมลิ้งค์ได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งทาง RGR และคอมลิ้งค์ ได้ร่วมกันบริหาร RHC โดย RGR เข้าไปเป็นกรรมการประมาณ 5 ราย จากกรรมการทั้งหมด 14 ราย รวมทั้งยังเข้าไปเป็นบอร์ดบริหารด้วย" นางสาวปรารถนากล่าว
ทั้งนี้ หุ้น RGR ถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องมากนัก ซึ่งหากบริษัทสามารถนำเข้าทำการซื้อขายได้ ก็ถือว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนรายย่อยที่จะขายหุ้นออกมา
นอกจากนี้ RGR ยังมีนโยบายที่จะเข้าไปถือหุ้น 100% ในโรงแรมแบงค์คอก แมริออท และโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เชียงใหม่ โดยปัจจุบัน RGR ถือหุ้นโรงแรมทั้งสองอยู่ 80% และ 60% ตามลำดับ แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ที่เอื้ออำนวย และในอนาคตบริษัทยังมีแผนจะเปิดโรงแรม ที่ภูเก็ตเฟส 2 ซึ่งจะสามารถเปิดได้ประมาณปลายปี 48 รวมถึงโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เชียงราย คาดว่าจะเปิดได้ประมาณไตรมาส 3 ปี 48 และโรงแรม โฟร์ซีซั่นส์ สมุย คาดว่าจะสามารถเปิดได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 49 ซึ่งทั้งหมด นี้จะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นไป
ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินอยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ 2,700 ล้านบาท กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1,500 ล้านบาท ที่เหลือเป็นหนี้สินอื่นๆ โดยหุ้นกู้อายุ 5 ปี ซึ่งยังเหลืออายุอีก 3 ปี ส่วนหุ้นกู้อายุ 7 ปียังมีอายุเหลืออีก 6 ปี และต้นเดือนธันวาคมนี้บริษัท มีแผนจะออกหุ้นกู้มูลค่า 500 ล้านบาทอายุ 3 ปี โดยคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% และอัตราส่วน หนี้สินต่อทุน (D/E) คาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.12 เท่า
|