แกะรอยผลประโยชน์กลุ่ม "มหากิจศิริ" หลัง "ไทยน๊อคซ์" เปลี่ยนแผนขายหุ้น แม้ตัวเลขเงินที่คาดว่าจะได้หายวับ 1,890 ล้านบาท แต่ยังได้กำไรจากการขายหุ้นเก่ากว่า 2,100 ล้านบาทช่วย เผยช่วงที่เข้าถือหุ้นไทยน๊อคซ์ แทบไม่มีต้นทุน วงการแนะจับตา "ประยุทธ" นำหุ้นที่เก็บคืนขายรอบใหม่ให้ PP ชี้อาจได้ราคาสูงกว่าไอพีโอ ส่วนทิสโก้ ตรวจความต้องการของสถาบันอีกรอบ มั่นใจขายหุ้นทันปี 47 ไม่หวั่นวิกฤตหุ้นน้องใหม่ เพราะตั้งราคาเหมาะสม ในขณะที่ "กิมเอ็ง" ส้มหล่นได้แจมขายหุ้นในส่วนรายย่อย
จากกรณีที่บริษัทไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) ของนายประยุทธ มหากิจศิริ ลดจำนวนหุ้นในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมที่จะนำออกมาขายไอพีโอ เหลือ 2,500 ล้านหุ้น จากเดิม 3,400 ล้านหุ้น แม้ว่าในเบื้องต้นหากคำนวณจำนวนเม็ดเงินที่บริษัทฯจะได้รับจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดตามราคาไอพีโอ ที่กำหนดไว้ 2.10 บาท น้อยกว่าเป้าหมายไว้ถึง 1,890 ล้านบาท แต่จากการวิเคราะห์ลึกลงในรายละเอียดพบว่า การเปลี่ยนแปลงแผนการเสนอขายหุ้นไม่มีส่วนทำให้กลุ่มของนายประยุทธ เสียผลประโยชน์เลย
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยถึง แบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัทไทยน๊อคซ์ ในหัวข้อลักษณะการประกอบธุรกิจ ระบุว่า ในปี 2547 บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยบริษัทอาร์ซีลอร์ ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับกลุ่มมหากิจศิริ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มมหากิจศิริเพิ่มขึ้นเป็น 96.10% ประกอบด้วย นายประยุทธ มหากิจศิริ ถือหุ้น 25.2% บริษัทเลควูดคันทรีคลับจำกัด ถือหุ้น 3.5% บริษัทเลควูดเรียลเอสเตท จำกัด ถือหุ้น 66.5% และบริษัทไทยฟิล์ม อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (TFI) ถือหุ้น 0.9%
แบบไฟลิ่งระบุว่า บริษัทเลควูดคันทรีคลับ และ บริษัทเลควูดเรียลเอสเตท ได้กู้เงินจากธนาคารแห่งหนึ่ง ตามสัญญากู้เงินลงฉบับวันที่ 19 มี.ค. 2547 เพื่อใช้ในการซื้อหุ้นของบริษัท (ไทยน๊อคซ์) จากผู้ถือหุ้นเดิม (กลุ่มอาร์ซีลอร์) โดยให้หลักประกันเป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของบริษัท ในเงินต้นจำนอง จำนวน 3,136.43 ล้านบาท โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการในขณะที่ไทยน๊อคซ์เป็นบริษัทจำกัดและถือหุ้น 96.10% โดยกลุ่มมหากิจศิริ
ทั้งนี้ เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายหุ้นไปพีโอในส่วนที่เป็นของบริษัทเลควูดคันทรีคลับ และบริษัทเลควูดเรียลเอสเตท จะนำไปชำระคืนเงินกู้ทั้งหมดที่มีต่อธนาคาร
แหล่งข่าวจากวงการหลักทรัพย์ให้ความเห็นว่า แม้ว่านายประยุทธจะได้รับเงินจากการขายไอพีโอลดลง แต่หากเทียบกับการลงทุนที่ไม่มีต้นทุนแล้วถือว่าได้กำไรมหาศาล เพราะหากพิจารณาจากข้อมูลที่ระบุในแบบไฟลิ่ง เงินที่นำมาซื้อหุ้นไทยน๊อคซ์จากกลุ่มอาร์ซีลอร์ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 96.10% นั้นเป็นการนำเครื่องจักร และทรัพย์สินของบริษัทไทยน๊อคซ์ไปวางจำนำกับธนาคารโดยที่ไม่ได้ใช้เงินของตัวเอง ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้นส่วนหนึ่งต้องนำไปคืนเงินกู้ดังกล่าว
ดังนั้น หากเทียบเงินที่จะได้รับจากการขายหุ้นไอพีโอ 2,500 ล้านหุ้นที่ราคา 2.10 บาท กลุ่มมหากิจศิริจะได้เงินจำนวน 5,250 ล้านบาท เมื่อต้องนำไปคืนเงินกู้ 3,136 ล้านบาท เท่ากับว่ายังได้กำไรอยู่ 2,114 ล้านบาท
นอกจากนั้น หุ้นส่วนที่เหลือที่กลุ่มมหากิจศิริยังไม่ได้นำออกมาขายไอพีโอในครั้งนี้ ยังสามารถขายในลักษณะของการขายแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ได้ในอนาคต และอาจจะได้ราคาดีกว่า 2.10 บาท หากหุ้นเข้าซื้อขายแล้วราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
รวมทั้งการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีมติผ่อนเกณฑ์การติดไซเลนต์ พีเรียดจาก 100% เหลือเพียง 65% จะทำให้กลุ่มมหากิจศิริสามารถนำหุ้นออกมาขายได้เร็วยิ่งขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯยันเปล่าเอื้อ
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุนและตลาดหลักทรัพย์ใหม่ กล่าวว่า การที่ตลท.ผ่อนเกณฑ์ไซเลนต์ พีเรียด นอกจากจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ยังทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมสามารถหาพันธมิตรเข้ามาร่วมถือหุ้นได้หลังจากที่หุ้นเข้าเทรดไปแล้ว โดยอาจจะเจรจาซื้อในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งในกรณีของไทยน๊อคซ์ หากจะขายหุ้นเดิมแบบ PP หลังจากเข้าตลาดแล้วก็สามารถทำได้ แต่ยืนยันว่าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ผ่อนเกณฑ์เพื่อเอื้อให้กับไทยน๊อคซ์ เพราะเรื่องดังกล่าวมีการหารือกับชมรมวาณิชธนกิจตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้ว
ด้านนายวันชัย มโนสุทธิ กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย (อันเดอร์ไรท์) หุ้นบริษัทไทยน๊อคซ์ กล่าวว่า ขณะนี้ขั้นตอนการขายหุ้นไทยน๊อคซ์เดินหน้าต่อไป หลังจากที่เจรจากับผู้ถือหุ้นเดิมแล้วว่าจะลดจำนวนหุ้นลงจาก 3,000 ล้านหุ้น เหลือ 2,500 ล้านหุ้น และขายที่ราคา 2.10 บาท ซึ่งได้มาจากการสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบันที่มีความต้องการซื้อ ที่ราคา 2.10 บาทมากถึง 1,900 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นที่จะจัดสรรให้กับสถาบันประมาณ 1,300 ล้านหุ้น (45% ของหุ้นเดิมที่เสนอขาย)
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการสอบถามถึงความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบันว่า ยังคงอยู่ที่ระดับเดิมที่เคยสำรวจความต้องการหรือไม่ โดยคาดว่าจะสรุปได้ภายใน 2 วันนี้ ซึ่งในส่วนที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน บล.ทิสโก้จะเป็นผู้จัดสรรทั้งหมด ส่วนการจัดสรรให้รายย่อยจะขายร่วมกับ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
นายวันชัยกล่าวว่า คาดว่าจะสามารถขายหุ้นได้ภายในเดือนนี้ และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯเดือนหน้า ถึงแม้ว่าเดือน ธ.ค. ภาวะตลาดมักจะซบเซาแต่บริษัทไม่มีความกังวล เนื่องจากราคาขายที่ 2.10 บาท มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และเหมาะสมกับพื้นฐานของบริษัท
"หุ้นไทยน๊อคซ์มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาเกิดปัญหาหุ้นไอพีโอที่ส่วนใหญ่จะต่ำกว่าจอง ซึ่งถ้าขายราคานี้ (2.10 บาท) เราไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะเป็นราคาที่เหมาะสมและได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน" นายวันชัยกล่าว
|