|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
"อากู๋" แกรมมี่ฟุ้งปีหน้ากำไรสุทธิจะพุ่งแตะ 1 พันล้านบาท หลังรุกธุรกิจ E-Business เต็มตัวส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเตรียมจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลงไทยบนคลื่นสถานีวิทยุในเขตกรุงเทพฯในสัดส่วน 7.5% ของรายได้ พร้อมรุกธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์เล็งเปิดตัวนิตยสารอีก 3 ฉบับในปีหน้า และลุยธุรกิจสื่อโทรทัศน์เต็มตัวส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้คาดกำไรสุทธิโต 60% เมื่อเทียบกับ ปีก่อน หรือมีกำไรสุทธิเฉียด 800 ล้านบาท แย้มใกล้ได้ข้อสรุปซื้อหงส์แดงน่าจะมีข่าวดีก่อนวันคริสต์มาส
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) (GRAMMY) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2548 ของ บริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 1 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปีนี้ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูง กว่า 800 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยกำไรสุทธิที่เพิ่ม ขึ้นจะมาจากทุกกลุ่มธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเพลง ธุรกิจ E-Business รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวที รายได้ค่าบริหารศิลปิน รายได้จากธุรกิจภาพยนตร์ รายได้จากธุรกิจวิทยุ รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ และรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์
"ในปีหน้า ธุรกิจไอทีจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทมากขึ้นและเราเตรียมที่จะบุกในธุรกิจนี้ซึ่งคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีนี้"
สำหรับรายได้รวมที่มาจาก E-Business ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 179 ล้านบาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทอยู่ระหว่างการวางระบบไอทีเพื่อที่จะบุกตลาดในปีหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเท่าตัว นอกจากนี้ ในแผนปีหน้าบริษัทยังเตรียมที่จะเก็บค่าลิขสิทธิ์จากวิทยุเช่นเดียวกับที่เพลงต่างประเทศจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์หลังจากที่กฎหมายเปิดทางให้สามารถจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ได้ตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งในส่วนของแกรมมี่ มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) เพลงไทยที่เปิดในสถานีวิทยุประมาณ 70% โดยบริษัทจะคิดค่าลิขสิทธิ์ ในอัตรา 7.5% ของรายได้ โดยในช่วงต้นปี 2548 จะเก็บค่าลิขสิทธิ์กับคลื่นสถานีวิทยุในกรุงเทพฯ ซึ่งมีการเจรจากับสถานีวิทยุต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วบางแห่งที่ยินดีจ่ายให้ ส่วนในต่างจังหวัดยังไม่มีการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2547 บริษัทมีรายได้รวม 4,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 4,258 ล้านบาท โดยใน 9 เดือนแรกของ ปีนี้มีกำไรสุทธิ 567 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 459 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน ปีนี้ เพียง 9 เดือนแรกก็มีกำไรสุทธิกว่าผลการดำเนินงานทั้งปีของปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท
"ภาพรวมกำไรสุทธิในปีนี้ เราตั้งเป้าว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเดิมที่เราเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีกำไรสุทธิโตประมาณ 30% แต่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่เกิดขึ้นทำให้เรามั่นใจว่ากำไรสุทธิทั้งปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือมีกำไรสุทธิประมาณ 800 ล้านบาท"
โดยในไตรมาส 3 ปี 2547 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 1,641 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 20.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 54.5%
สำหรับภาพรวมธุรกิจเพลงในปีนี้คาดว่าจะมีการออกอัลบั้มเพลงรวมไม่ต่ำกว่า 200 อัลบั้มส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์จะมีการเปิดตัวนิตยสารฉบับใหม่คือ Maxim ฉบับภาษาไทย ในเดือนธันวาคมนี้และในปีหน้าจะมีการเปิดตัวนิตยสารอีก 3 ฉบับ
นายไพบูลย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการเข้าไปซื้อหุ้นในสโมสรลิเวอร์พูลว่าในวันศุกร์ที่ผ่านมา แกรมมี่ได้ยื่นข้อเสนอไปยังรีบอร์กซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์ด้านเสื้อผ้าของสโมสรเป็นที่เรียบร้อยแล้วหากไม่มีปัญหาน่าจะได้ข้อสรุปก่อนวันคริสต์มาส อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่าจะเข้าไปลงทุนในสัดส่วนเท่าใด
"หากรีบอร์กรับข้อเสนอและเงื่อนไขที่เรายื่นไปได้ การเข้าไปลงทุนไม่น่าจะมีปัญหา ภายใน 6 สัปดาห์ เราน่าจะเติมเงินเพิ่มทุนเข้าไปได้ หลังจาก ที่ทำการตรวจสอบสถานะทางการเงิน (ดิวดิลิเจนท์)"
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่าการเจรจาเข้าถือหุ้นในสโมสรลิเวอร์พูลได้มีการเจรจาในเนื้อหาหลักเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคือ 1.ธุรกิจเสื้อผ้า 2.ธุรกิจที่ไม่ใช่ เสื้อผ้า 3.โรงเรียนฟุตบอล และ 4.ทัวร์นาเมนท์ที่จะมาไทย ซึ่งทุกอย่างจบไปแล้วเหลือเพียงธุรกิจที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ซึ่งในส่วนนี้รีบอร์กเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทำให้ต้องใช้เวลาในการเจรจาต่อรองหากสามารถเจรจากับรีบอร์กได้ทุกอย่างจะง่ายขึ้น
"การเจรจาขณะนี้เหลือเพียงรีบอร์กเท่านั้นถ้าหากเจรจาไม่จบก็ยาก"
|
|
 |
|
|