นายวันชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ เซ็นทรัล กรุ๊ป เปิดเผยว่า เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี
2540 ที่ผ่านมาทำให้ผู้บริหารระดับสูงของเซ็นทรัลได้พิจารณาถึงความมั่นคงในธุรกิจ
และเห็นว่าการแข่งขันในยุคนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศ
จึงทำให้คณะผู้บริหารของเซ็นทรัล ตัดสินใจที่จะปรับโครงสร้างการบริหารงานอย่างจริงจัง
โดยได้นายวิโรจน์ ภู่ตระกูล ที่ปรึกษาของเซ็นทรัลกรุ๊ป เข้ามาช่วยจัดระบบโครงสร้างการบริหารงานใหม่ให้
“การปรับโครงสร้างครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการบริหารงานมากขึ้นแล้ว
ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในตระกูลที่มีความรู้ ความสามารถ
และความพร้อม ได้แสดงฝีมือให้เต็มที่อีกด้วย”
ทางด้านนายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัลกรุ๊ป เปิดเผยว่า
สาเหตุของการปรับโครงสร้างในครั้งนี้เป็นเพราะแต่เดิม ธุรกิจของเซ็นทรัลเป็นธุรกิจแบบครอบครัว
ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่ไม่มีคณะกรรมการบริหาร หรือที่เรียกว่า บอร์ด เช่นการบริหารขององค์กรขนาดใหญ่
ที่เป็นมืออาชีพ ทำให้การตัดสินใจทำธุรกิจที่ผ่านมาใช้การติดสินใจเพียงกลุ่มคนไม่กี่คน
และบางครั้งก็ขาดการศึกษาที่ละเอียดในการทำธุรกิจ
ดังนั้น ทางครอบครัวจิราธิวัฒน์ จึงมีความเห็นที่จะให้จัดตั้งบริษัทผู้ถือหุ้นขึ้น
(Holding Company) ซึ่งขณะนี้เรียกชื่อว่า เซ็นทรัลกรุ๊ป หรือ ซีจี และเมื่อเดือนตุลาคม
2544 ได้มีการตั้ง ซีจีบอร์ด เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางของเซ็นทรัลกรุ๊ป
ในระยะยาว มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้บริหารตามองค์กร โดยมีคณะกรรมการทั้งหมด
15 คน มี นายวันชัย จิราธิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการชุดนี้จะประชุมปีละ
4-5 ครั้ง
สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารจัดการนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการบริหารที่เรียกว่า
Executive Committee ขึ้นมาชุดหนึ่ง มีหน้าที่รับผิดชอบยุทธศาสตร์ระยะยาว
และกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจให้เป้นไปตามเป้าหมายและความต้องการของผู้ถือหุ้น
หรือ ซีจีบอร์ด
ปัจจุบันซีจี บอร์ด ได้แต่งตั้งกรรมการของ Executive Committee ไปแล้ว 7
คน (จาก 10 คน) โดยมีนายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการบริหาร นายสุทธิเกียรติ
จิราธิวัฒน์ เป็นรองประธาน นายสุทธิชาติ ดูแลด้านทรัพยากรมนุษย์ นายสุทธิศักดิ์
และนายสุทธิธรรม ดูแลด้านปฏิบัติการ นายปริญญ์ ดูแลด้านการเงิน และนายวิโรจน์
ภู่ตระกูล เป็นกรรมการบริหารทั่วไป
คณะกรรมการของ Executive Committee ชุดนี้ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าคือกลุ่มอาวุโสของตระกูลจิราธิวัฒน์
ที่ผ่านการบริการธุรกิจของเซ็นทรัลกรุ๊ปมาอย่างยาวนาน และคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการผู้จัดการใหญ่
ของทั้ง 5 สายธุรกิจ ประกอบด้วย สายธุรกิจการค้าปลีก ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจการค้าส่ง และธุรกิจอาหาร
โดยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ 5 กลุ่มธุรกิจที่ถูกวางตัวเอาไว้แล้วนั้น ได้แก่
นายทศ จิราธิวัฒน์ ที่จะมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจการค้าปลีก
(เซ็นทรัลรีเทล) แทนนายสุทธิชาติ ที่นั่งบริหารงานมานานกว่า 5 ปี
ส่วนสายธุรกิจการค้าส่ง นายพิชัย จิราธิวัฒน์ เดิมเป็นกรรมการผู้จัดการ
บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่สายธุรกิจการค้าส่ง
แทนนายสุทธิศักดิ์
สำหรับอีก 3 ธุรกิจหลักที่เหลือนั้นยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แจ่ก็เป็นที่คาดการณ์ว่า ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม นายสุทธิเกียรติ ยังได้รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่
เช่นเดิม เนื่องจากนายวันชัย ให้เหตุผลว่า กลุ่มธุรกิจโรงแรม มีโครงการจะสร้างโรงแรมใหม่อีก
3 แห่ง จึงต้องการให้คนที่มีความรู้ความเข้าใจงานด้านนี้ดูแลอย่างใกล้ชิด
ส่วนสายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทเซ็นทรัลพัฒนานั้น คาดว่าบุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายสุทธิธรรม
น่าจะเป็นนายกอบชัย ซึ่งเป็นบุตรชายของนายวันชัย จิราธิวัฒน์ ส่วนสายธุกิจอาหารนั้น
ยังไม่ยืนยันว่าจะเป็นบุคคลใดเป็นผู้บริหาร
นอกจากการตั้งคณะกรรมการบริหารสองชุดนี้แล้ว ยังตั้งสมัชชาครอบครัวขึ้น
เพื่อทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้แก่ตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่ปัจจุบันมีถึง 150
คน โดยคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่ดูแลด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่
เพื่อให้สมาชิกทุกคนได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนของตระกูล ที่มีทรัพย์สินอยู่ในเซ็นทรัลกรุ๊ปกว่า
20,000 ล้านบาท ให้มีความเท่าเทียมกัน
นายสุทธิชัย กล่าวว่า สำหรับทิศทางของเซ็นทรัลกรุ๊ป ในช่วง 2 ปีนับจากนี้ไป
จะไม่มีการขยายธุรกิจเนื่องจากโครงการที่ดำเนินการอยู่ก็มีมากพอแล้ว โดยโครงการของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจะมีอยู่
2 โครงการ ที่กำลังก่อสร้าง คือ ซูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2 และศูนยการค้า
เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่ และในปีนี้คาดว่าจะมีอีก 2 โครงการที่มีความเป็นไปได้ก็คือ
โครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่วนอีกโครงการหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์
หรือโซโก้ โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจโรงแรมที่จะมีการก่อสร้างอีก 3 โครงการประกอบด้วย โรงแรมเซ็นทรัล
กระบี่ ,กะรน และพัทยา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท
ด้านสายธุรกิจค้าปลีกนั้น ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ก็จะเปิดตามศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า
เป็นหลัก และยังไม่มีแผนที่จะขยายเพิ่มในช่วงนี้
ส่วนธุรกิจค้าส่ง ก็เป็นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลัก
ส่วนสายธุรกิจอาหารก็ยังดำเนินการไปตามเดิม
ด้านเป้าหมายการเติบโตของเซ็นทรัลกรุ๊ปนั้น นายสุทธิชัย กล่าวว่า ได้มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ปีละ
15% โดยแต่ละกลุ่มธุรกิจจะต้องเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 10% โดยปี 2540 เซ็นทรัลกรุ๊ปมียอดรายได้
30,000 ล้านบาท ส่วนปี 2544 มีรายได้ 42,000 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้
50,000 ล้านบาท