|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศาลล้มละลายกลางเห็นชอบแผนฟื้นฟูฯฉบับแก้ไข TPIPL แล้ว "อรพิน เลี่ยวไพรัตน์" เตรียมหารือคลังเจรจาสว็อปหุ้น TPIPL กับโรงเม็ดพลาสติก LDPE หลังคลังได้ข้อยุติ TPI และต้นปีหน้าเจรจาคณะกรรมการเจ้าหนี้อนุมัติการขยายโรงปูนไลน์ 4 อีก 3.3 ล้านตัน รองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น ล่าสุด KFW ไฟเขียวขยายกำลังผลิตปูนมอลต้าไลน์ 3 อีก 1.5 ล้านตัน เผยวันนี้ (10 พ.ย.) ศาลล้มละลายกำหนดนัดฟังคำสั่งรับแผนฟื้นฟูฯฉบับแก้ไข TPI วันนี้ หลังเลื่อนจากวันที่ 1 พ.ย. เนื่องจาก "ประชัย" ผู้บริหารลูกหนี้ยื่นคัดค้านการแก้ไขแผนฯ
วานนี้ (9 พ.ย.) ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูฉบับแก้ไขของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ หลังจากศาลกำหนดนัดพิจารณาแล้วไม่มีผู้คัดค้าน และแผนฟื้นฟูกิจการที่แก้ไขชอบด้วยมาตรา 90/63 ประกอบมาตรา 90/58 แห่งพ.ร.บ. ล้มละลายกลาง พ.ศ. 2483
รายละเอียดการแก้ไขแผนฟื้นฟูฯ ทีพีไอโพลีนดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้ คือ ให้เจ้าหนี้สามารถรับชำระหนี้ดอกเบี้ยค้างจ่ายวงเงินประมาณ 5.1 พันล้านบาท เป็นเงินสดได้แทนการชำระเป็นหุ้นเพิ่มทุน และขยายเวลาการฟื้นฟูกิจการออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุด 31 ธ.ค.47 เป็นวันที่ 31 ธ.ค.48
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ ตัวแทนผู้บริหารแผนฯทีพีไอโพลีน กล่าวว่า หลังจากศาลมีคำสั่งรับการแก้ไขแผนฯทีพีไอโพลีนแล้ว บริษัทฯจะดำเนินการเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อขอสว็อปหุ้น TPIPL ที่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI) ถือหุ้นอยู่กับโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้มีการเจรจากับผู้บริหารแผนฯของทีพีไอแล้ว แต่ทางผู้บริหารแผนฯทีพีไอได้เสนอให้คลังเป็นผู้ดูแลจัดการ โดยจะต้องรอให้คลังแก้ปัญหาทีพีไอเสร็จก่อน
ทั้งนี้ เครื่องจักร LDPE ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมมาตลอด ซึ่งโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกจะแพงที่ฐานราก และการวางท่อก๊าซฯที่ผ่านมา ยังไม่มีการตีมูลค่าของแบรนด์เนมเม็ดพลาสติก LDPE ซึ่งแบรนด์ ทีพีไอมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ดังนั้นหากมีการสว็อปหุ้นกันคงต้องมีการเจรจาที่เหมาะสมกันใหม่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ KFW ได้ทำหนังสืออนุมัติให้บริษัทฯเพิ่มการผลิตปูนมอลต้าไลน์ที่ 3 อีก 1.5 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 7.5 แสนตัน ใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2548 เพื่อสนองความต้องการใช้ปูนที่เพิ่มสูงขึ้นตามโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ส่งผลให้บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นด้วย รวมทั้งจะเจรจาคณะกรรมการเจ้าหนี้เพื่อขออนุมัติการขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ไลน์ 4 เพิ่มอีก 3.3 ล้านตัน ซึ่งปัจจุบันโรงงานดังกล่าวได้มีการก่อสร้างฐานรากแล้ว เพียงแต่ลงทุนด้านเครื่องจักรเท่านั้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนความคืบหน้าในการเจรจารีไฟแนนซ์หนี้ 680 ล้านเหรียญสหรัฐ ว่าหลังจากศาลมีคำสั่งเห็นชอบการแก้ไขแผนฯ จะทำให้การรีไฟแนนซ์หนี้ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งบริษัทฯจะเริ่มหารือกับเจ้าหนี้เพื่อเจรจาขอลดดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่มีภาระดอกเบี้ยจ่าย 4.8-4.9%ในต้นปี 48 หากเจ้าหนี้ยอมลดดอกเบี้ยให้ก็ไม่ต้องรีไฟแนนซ์ใหม่ ซึ่งสาเหตุที่บริษัทฯต้องการรีไฟแนนซ์เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะหันมากู้เงินสกุลบาทแทน
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้สูงขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากได้เพิ่มปริมาณการขายในประเทศมากขึ้นเป็นกว่า 90%ของปริมาณการผลิตปูน 9 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนที่มีการจำหน่ายในประเทศเพียง 80% ซึ่งราคาปูนที่ขายในประเทศจะสูงกว่าราคาส่งออก
ชี้ชะตา "ประชัย" วันนี้
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (10 พ.ย.) ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดนัดฟังคำสั่งการขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ หลังจากได้เลื่อนการพิจารณาออกไปเมื่อวันที่ 1 พ.ย.47 เนื่องจากมีผู้บริหารลูกหนี้ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการแก้ไขแผนฟื้นฟูฯดังกล่าว โดยเสนอขอให้ศาลส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่ศาลล้มละลายกลางได้ยกคำร้องดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 4 พ.ย.ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าพ.ร.บ.ล้มละลายมาตราที่ 90/17 วรรคสอง ไม่ขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ซึ่งผู้บริหารแผนฯทีพีไอมีความมั่นใจว่าศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งเห็นชอบการแก้ไขแผนฯตามที่เจ้าหนี้โหวตรับแผนฯก่อนหน้านี้ เว้นแต่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารลูกหนี้จะมีการยื่นคำร้องคัดค้านการแก้ไขแผนฯเพิ่มเติม
นายสุวิช นิวาตวงศ์ แทนผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI) จากภาวะราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน รวมทั้งค่าการกลั่น ซึ่งได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2547 หลังจากบริษัทฯ ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ด้านการตลาดแล้ว บริษัทได้ปรับอัตราการกลั่นเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมซึ่งวางไว้ที่ระดับเฉลี่ย 160,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นที่ระดับ เฉลี่ย 180,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อให้ได้รับประโยชน์ สูงสุดจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดังกล่าว การที่บริษัทได้เพิ่มปริมาณการผลิตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยจาก 160,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อไตรมาส 1 มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 180,000 บาร์เรลต่อวันนั้น ทำให้ความ ต้องการน้ำมันดิบของบริษัทเพิ่มขึ้นมาก
บริษัทฯจึงได้เจรจาและทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบระยะยาวเพิ่มเติมจากประเทศตะวันออกกลาง เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต
นอกจากนี้ ผู้บริหารแผนฯอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินต่างเพื่อให้ได้วงเงินสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เพิ่มเติม หลังจากปัจจุบัน บริษัทได้รับสินเชื่อเงินทุนหมุน เวียนเพิ่มขึ้นเป็น 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินบางแห่งได้ระงับวงเงินสินเชื่อส่วนหนึ่ง จำนวน 79.67 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงการบริหารของผู้บริหารแผนชั่วคราว
โบรกฯเตือนอย่าเก็งกำไรตามข่าวศาล
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า ในวันที่ 10 พ.ย.นี้ ศาลล้มละลายกลางน่าจะมีคำสั่งเห็นชอบต่อแผนฟื้นฟูฯฉบับแก้ไขของทีพีไอ เนื่องจากแผนฟื้นฟูฉบับแก้ไขโดยกระทรวงการคลัง จัดว่าเป็นแผนที่สมบูรณ์เพราะเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ และธุรกิจของลูกหนี้ก็สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ในส่วนของผู้ถือหุ้นทีพีไอก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้เพื่อรักษาสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยตามที่ผู้บริหารแผนฯเคยกล่าวไว้
หากศาลล้มละลายกลางเห็นชอบการแก้ไขแผนฯแล้ว ทีพีไอจะดำเนินการลดทุนจากมูลค่าพาร์จาก 10 บาท เหลือเพียง 1 บาท ซึ่งการลดทุนครั้งนี้จำนวนหุ้นและมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลง และบริษัทสามารถนำเงินส่วนเกินจากการลดทุนไปล้างขาดทุนสะสมได้ ต่อจากนั้น บริษัทจะดำเนินการเพิ่มทุนต่ออีกประมาณ 1.1 หมื่นล้านหุ้น รวมกับหุ้นที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิในการแปลงดอกเบี้ยเป็นทุนอีกจำนวนหนึ่ง ขายให้พันธมิตรเข้ามาร่วมถือหุ้น เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ ซึ่งในส่วนพันธมิตรดังกล่าว คือปตท. และ กบข.
อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้น TPI ตามข่าวการพิจารณาของศาลล้มละลายกลางในวันนี้ เพราะที่ผ่านมาราคาหุ้น TPI ปรับตัวขึ้นมารับข่าวมากแล้ว อีกทั้ง แนวโน้มตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่จะปรับตัวลง
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น TPI ปิดตลาดที่ 7.85 บาท เพิ่มขึ้น 45 สตางค์ เปลี่ยนแปลง 6.08% มูลค่าการซื้อขายรวม 183.60 ล้านบาท ส่วนหุ้น TPIPL ปิดตลาดที่ 26.25 บาท เพิ่มขึ้น 50 สตางค์ เปลี่ยนแปลง 1.94% มูลค่าการซื้อขายรวม 38.76 ล้านบาท
|
|
|
|
|