AH เข้าบริหาร Kunshan Chaitai-Xinchen Precision Forging หลังจ่ายชำระค่าหุ้น คาดทำรายได้เข้าบริษัทแม่ไม่ต่ำกว่าปีละ 10% เล็งซื้อบริษัทเพิ่มอีกหลายแห่ง เน้นธุรกิจยานยนต์ ขณะที่บริษัทในอินเดียอยู่ระหว่างการเจรจา แจงปีหน้ายังตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 10-20% ขณะที่ปีนี้มั่นใจยอดขายทะลุ 6 พันล้านบาท

นายเย็บ ซู ชวน กรรมการผู้ จัดการ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) (AH) เปิดเผยว่า หลังจากจ่ายชำระเงินค่าหุ้นของบริษัท Kunshan Chaitai-Xinchen Precision Forging จำกัด เมื่อ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา AH ก็เข้าไปนั่งบริหารทันที และหุ้นอีก 25% นั้น เป็นคนไทยที่ถือหุ้นอยู่แต่เดิม และชักชวนให้ AH เข้าไปลงทุนด้วย ซึ่งตรงเป้าหมายของผู้บริหารที่ต้องการเน้นเข้าไปลงทุนในบริษัทที่แม้จะมีปัญหา แต่ยังฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการผลิต และอาจต้องใช้เวลาในการปรับปรุงการผลิตตลอดจนบริหารงานให้คล่องตัว ถือว่ายังดีกว่าการที่ต้องไปลงทุนสร้างโรงงาน เพราะต้องเสียเวลาในการก่อสร้างนานกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน

อย่างน้อยการซื้อบริษัทที่มีปัญหา ยังมีทางที่จะทำให้ฟื้นตัวได้เหมือนอย่าง บริษัท อาปิโก อมตะ จำกัด ที่ซื้อมาเมื่อ 28 มิถุนายน 46 ซึ่งบริษัทนี้เป็นผู้ผลิตโครงสร้างช่วงล่าง ให้กับรถยนต์อีซูซุ รายเดียวหลังบริษัทดังกล่าวประสบกับภาวะขาดทุนหนัก และผู้ถือหุ้นใหญ่เจตนาที่จะขายหุ้นออกมาทั้งหมด เมื่อ AH เข้าไปบริหารก็ทำให้ อาปิโก อมตะ ดีขึ้นมาก ที่สำคัญบริษัทนี้ส่งของตรงตามเวลาที่ลูกค้าต้องการ จากก่อนหน้าที่บริษัทย่อยดังกล่าว มีความหละหลวมในการบริหารงาน ก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จนผลการดำเนินงานฟื้นตัว และผลการดำเนินงานมีกำไรส่งผลดีต่อบริษัทแม่

นายเย็บกล่าวว่า การลงทุนที่เมืองจีนก็เหมือนกับการซื้อหุ้นในอาปิโก อมตะ ที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นการไปซื้อบริษัทที่ไม่ดีมาดำเนินงาน แต่เข้าไปซื้อนั้นไม่ใช่บริษัทที่ล้มเหลว เป็นบริษัทสามารถฟื้นฟูและแก้ไขได้ เพียงแต่ต้องการคนที่เข้าไปบุกเบิกและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเครื่องจักรของโรงงานยังเดินเครื่องได้ตามปกติ และอาจต้องปรับปรุงหรือเพิ่มเครื่องจักรใหม่เข้าไปบ้าง เพื่อความเหมาะสมในการผลิต ถือว่าเป็นเรื่องปกติของการลงทุน

"บริษัทใหม่ที่จีนแดง เราก็ต้องบุกเบิกและลงทุนเพิ่มบางส่วน เพราะเครื่องจักรเราต้องซื้อใหม่เพิ่ม เราตั้งงบประมาณในการลงทุนครั้งนี้เหมือนกัน แต่จะต้องใส่เข้าไปอีกเท่าไหร่ แค่ไหน ต้องมาพิจารณาทีละขั้นตอน ปีนี้เรายังบอกไม่ได้ เพราะเพิ่งเข้ามานั่งบริหาร แต่เราต้องรอดูทิศทางในปีหน้าก่อน การลงทุนต้องค่อยเป็นค่อยไป และเราจะใช้เงินทุนหมุนเวียน โดยไม่ต้องกู้เพิ่ม"

นอกจากบริษัท Kunshan Chaitai-Xinchen Precision Forging จำกัด แล้ว นายเย็บยังมองบริษัท อื่นๆ ที่จีนอีก เพื่อรอจังหวะในการที่เข้าครอบงำกิจการมาไว้บริหาร ซึ่งยังเน้นบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหลัก เพราะยังมีโอกาสเติบโตอีกมากตามภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังเติบโตไม่หยุดนิ่ง และเป็นการลดภาระการส่งสินค้าจากไทยไปจำหน่ายในจีนด้วย

สำหรับ บริษัท Kunshan Chaitai-Xinchen Precision Forging จำกัด คาดว่าจะทำรายได้เข้าสู่ AH ปีละไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ เพราะเพิ่งเข้าไปบริหาร ต้องรอให้เห็นภาพชัดเจนในปี 48 ขณะที่การเติบโตของ AH ยังคงอยู่ที่ปีละ 10-20% โดยปีนี้มั่นใจว่าจะทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท อันเป็นผลจากธุรกิจยานยนต์ที่เติบโตต่อเนื่องไปอีก 5 ปี

นายเย็บกล่าวถึงการเข้าไปลงทุนในอินเดียว่า "ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และยังเปิดเผยไม่ได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจากันเสร็จแล้ว ขณะนี้ขอบุกเบิกบริษัทใหม่ที่เมืองจีนก่อน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุน เป็นการเพิ่มพูนและขยายธุรกิจของ AH ไปยังต่างประเทศ"

ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงานของบริษัทที่ต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการรุกตลาดในประเทศจีน โดยจะเข้าไปควบคุมการจัดการทั้งหมดขององค์กรที่มีผลกำไรขนาดเล็กและมีประวัติการดำเนินงานที่ดี ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงให้กับบริษัท

สำหรับ บริษัท Kunshan Chaitai-Xinchen Precision Forging จำกัด มีความชำนาญพิเศษใน การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในการอัดฉีดส่วนประกอบเครื่องมือเครื่องจักร (Precision Forging Technology) บริษัทเป็นผู้ริเริ่มในการผลิตขอบนอกของล้อรถยนต์ (synchoznizer rims) อุปกรณ์ (gears) ก้านสูบเครื่องยนต์ (connecting rods) สำหรับรถจักรยานยนต์ ด้วยเทคโนโลยี Precision Forging ซึ่งเทคโนโลยี Precision Forging ในการทำอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ของบริษัทได้ไปถึงระดับขั้นสูงในประเทศจีนแล้ว

โดย AH เข้าไปซื้อหุ้นต่อจากรัฐบาลจีนแดงสัดส่วน 75% มูลค่าทั้งหมด 2.050 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 80 ล้านบาท โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงาน

นอกจากการซื้อบริษัทเพื่อพัฒนาต่อแล้ว AH ยังเข้าลงทุนในกิจการที่ต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน Able Motor ที่ถือหุ้น 99% เพื่อใช้ประกอบในการขอสินเชื่อ การร่วมทุนกับ Fisher Tech ตั้งบริษัท ฟิชเชอร์ อาปิโก จำกัด จำนวน 30% คิดเป็นเงิน 50 ล้านบาท ที่ทำอุตสาหกรรมยานยนต์ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง เพื่อเกื้อหนุนในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่หากการลงทุนในบริษัทที่ไม่เกื้อ หนุนการทำธุรกิจ บริษัทก็ขายหุ้นทิ้งเหมือนที่ผ่านมาเช่นกัน