|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์ไทยพาณิชย์สุดอั้น จ้องปรับดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว 2 ปีขึ้นอีก 0.25% ภายในสิ้นปีนี้ อ้างบริหารโครงสร้างเงินฝากให้สอดคล้องกับเงินกู้ ยันสภาพคล่องยังคงล้นระบบทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวยังทรงตัว พร้อมเดินหน้า "Universal Banking" เพิ่มฐานลูกค้าทุกกลุ่ม ดันรายได้ค่าธรรมเนียมขยับเป็น 40% เพิ่มจากปัจจุบัน 33% ของรายได้รวม ยันรักษาระดับรายได้ปกติต่อปี 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายในสิ้นปี 2547 นี้ ธนาคารมีแผนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว 2 ปี (24 เดือน) อีกประมาณ 0.25% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 1.25% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวจะต้องใช้เวลาและปัจจัยอื่นพิจารณาประกอบอีกระยะหนึ่ง ซึ่งคาดว่าภายในต้นปีหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น
"การปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการบริหารเงินตามปกติ ด้วยการระดมเงินฝากระยะยาวให้สอดคล้องกับเงินกู้ที่ส่วนใหญ่เงินกู้ของธนาคารจะอยู่ระยะ 2 ปีขึ้นไป โดยปัจจุบันโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารคือ ออมทรัพย์ 0.75% เงินฝากประจำ 3,6,12 เดือน อัตรา 1% และเงินฝากประจำ 24 เดือน อัตรา 1.25%"
ทั้งนี้ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดเงินทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตาม โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้น 14 วัน (อาร์/พี) ขึ้นถึง 2 ครั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ การไหลออกของเงิน และดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของไทย จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งที่จะมีการปรับตัว ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเริ่มขยับขึ้นบาง เนื่องจากสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงล้นระบบอยู่ ดังนั้นการปรับดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้านประกอบกัน ไม่ใช่เฉพาะดอกเบี้ยนโยบายเท่านั้น ซึ่งในแต่ละแห่งต่างก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับบริหารเงินของแต่ละแห่ง
"การปรับดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวของแบงก์ นั้นไม่น่าที่จะมีผลกระทบหรือทำให้แบงก์พาณิชย์อื่นๆปรับดอกเบี้ยตาม เพราะการปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ใช่สภาพคล่องหมดและระดมเงินทดแทน ซึ่งความเป็นจริงสภาพคล่องยังคงล้นระบบอยู่ เป็นเพียงบริหารเงินฝากให้สอดคล้องกับโครงสร้างเงินกู้ของแบงก์เท่านั้น" กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว
รักษาระดับรายได้ปกติ 1.2 หมื่นล้าน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2548 นั้น คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ธนาคารยังยึดนโยบายดำเนินธุรกิจครบวงจร (Universal Banking) โดยจะเพิ่มฐานลูกค้ากระจายให้ครบทุกกลุ่มตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนต่างมุ่งสนับสนุนภาคธุรกิจเอสเอ็มอีและรายย่อย
โดยธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อย (รีเทลแบงกิ้ง) ประมาณ 10% จากทั้งระบบ เติบโตเฉลี่ย 5.5% ส่วนกลุ่มลูกค้ารายใหญ่มีแนวโน้มที่ทรงตัว เพราะบริษัทเอกชนขนาดใหญ่สามารถพึ่งพา ตัวเองได้ ทั้งเรื่องของการระดมเงินทุนเองในตลาด หรือการระดมทุน ด้วยการออกตราสารทางการเงิน เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ธนาคารจะเน้นการทำธุรกิจการเงินอื่นๆ นอกจากการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอยู่แล้ว โดยคาดหวังที่จะให้ลูกค้ารายหนึ่งใช้บริการกับธนาคารเฉลี่ยรายละมากกว่า 2 รายการ เพื่อเสริมรายได้ทางด้านค่าธรรมเนียม โดยตั้งเป้าเพิ่ม สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเป็น 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 33% รวมทั้งขยายสินเชื่อเพิ่มประมาณ 6-7%
คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ธนาคารยังคงรักษาระดับผลกำไรให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จากรายได้ปกติของธนาคารในแต่ละปีประมาณ 12,000 ล้านบาท และมีพนักงานประมาณ 16,000 คน ซึ่งเฉลี่ยพนักงานทำรายได้กว่า 1 เท่า สำหรับในปีนี้ธนาคารยังคงมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อไป และคาดว่าปีนี้จะมีกำไร มากกว่าปกติ เนื่องจากมีรายได้พิเศษจากขายหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนหรือจากการปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อมีกำไร หรือบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปก็ขายคืนให้กับเจ้าของเดิม
ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนของการลงทุนในหุ้นบริษัทต่างๆ ประมาณ 20% ของเงินกองทุน แยกเป็นการถือหุ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้หรือแปลงหนี้เป็นทุนประมาณ 4-5% ซึ่งอยู่กรอบของธปท. จากเดิมที่อยู่ระดับ 22-23% เนื่องจากมีการทยอยขายออกไป และสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารเพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพหุ้นกู้ในปีนี้ 4,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งนั้น คุณหญิงชฎา กล่าวว่า จะทำให้การดำเนินนโยบายการค้าและการเงินระหว่างประเทศมีความต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นที่ต้องจับตามอง เนื่องจากยังมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มากถึง 5.5% และการขาดดุลการค้า การคลัง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลกอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
"ปัจจัยต่างๆ อาจจะมีผลกระทบต่อไทยที่มีการพึ่งพาการส่งออก แต่เชื่อว่าผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์คงจะมีต่อเงินบาทไม่มาก เพราะการที่ไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ก็ทำให้ทางการมีการเข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ"
|
|
|
|
|