Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 พฤศจิกายน 2547
SCBจ้องปรับดบ.ฝากสิ้นปีนี้             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารไทยพาณิชย์

   
search resources

ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ.
Interest Rate




แบงก์ไทยพาณิชย์สุดอั้น จ้องปรับดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว 2 ปีขึ้นอีก 0.25% ภายในสิ้นปีนี้ อ้างบริหารโครงสร้างเงินฝากให้สอดคล้องกับเงินกู้ ยันสภาพคล่องยังคงล้นระบบทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวยังทรงตัว พร้อมเดินหน้า "Universal Banking" เพิ่มฐานลูกค้าทุกกลุ่ม ดันรายได้ค่าธรรมเนียมขยับเป็น 40% เพิ่มจากปัจจุบัน 33% ของรายได้รวม ยันรักษาระดับรายได้ปกติต่อปี 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง

คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายในสิ้นปี 2547 นี้ ธนาคารมีแผนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว 2 ปี (24 เดือน) อีกประมาณ 0.25% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 1.25% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวจะต้องใช้เวลาและปัจจัยอื่นพิจารณาประกอบอีกระยะหนึ่ง ซึ่งคาดว่าภายในต้นปีหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น

"การปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการบริหารเงินตามปกติ ด้วยการระดมเงินฝากระยะยาวให้สอดคล้องกับเงินกู้ที่ส่วนใหญ่เงินกู้ของธนาคารจะอยู่ระยะ 2 ปีขึ้นไป โดยปัจจุบันโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารคือ ออมทรัพย์ 0.75% เงินฝากประจำ 3,6,12 เดือน อัตรา 1% และเงินฝากประจำ 24 เดือน อัตรา 1.25%"

ทั้งนี้ ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดเงินทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตาม โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้น 14 วัน (อาร์/พี) ขึ้นถึง 2 ครั้ง เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ การไหลออกของเงิน และดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของไทย จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งที่จะมีการปรับตัว ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเริ่มขยับขึ้นบาง เนื่องจากสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงล้นระบบอยู่ ดังนั้นการปรับดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้านประกอบกัน ไม่ใช่เฉพาะดอกเบี้ยนโยบายเท่านั้น ซึ่งในแต่ละแห่งต่างก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับบริหารเงินของแต่ละแห่ง

"การปรับดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวของแบงก์ นั้นไม่น่าที่จะมีผลกระทบหรือทำให้แบงก์พาณิชย์อื่นๆปรับดอกเบี้ยตาม เพราะการปรับดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ใช่สภาพคล่องหมดและระดมเงินทดแทน ซึ่งความเป็นจริงสภาพคล่องยังคงล้นระบบอยู่ เป็นเพียงบริหารเงินฝากให้สอดคล้องกับโครงสร้างเงินกู้ของแบงก์เท่านั้น" กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว

รักษาระดับรายได้ปกติ 1.2 หมื่นล้าน

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2548 นั้น คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ธนาคารยังยึดนโยบายดำเนินธุรกิจครบวงจร (Universal Banking) โดยจะเพิ่มฐานลูกค้ากระจายให้ครบทุกกลุ่มตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนต่างมุ่งสนับสนุนภาคธุรกิจเอสเอ็มอีและรายย่อย

โดยธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อย (รีเทลแบงกิ้ง) ประมาณ 10% จากทั้งระบบ เติบโตเฉลี่ย 5.5% ส่วนกลุ่มลูกค้ารายใหญ่มีแนวโน้มที่ทรงตัว เพราะบริษัทเอกชนขนาดใหญ่สามารถพึ่งพา ตัวเองได้ ทั้งเรื่องของการระดมเงินทุนเองในตลาด หรือการระดมทุน ด้วยการออกตราสารทางการเงิน เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ธนาคารจะเน้นการทำธุรกิจการเงินอื่นๆ นอกจากการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอยู่แล้ว โดยคาดหวังที่จะให้ลูกค้ารายหนึ่งใช้บริการกับธนาคารเฉลี่ยรายละมากกว่า 2 รายการ เพื่อเสริมรายได้ทางด้านค่าธรรมเนียม โดยตั้งเป้าเพิ่ม สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเป็น 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 33% รวมทั้งขยายสินเชื่อเพิ่มประมาณ 6-7%

คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ธนาคารยังคงรักษาระดับผลกำไรให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อเนื่อง จากรายได้ปกติของธนาคารในแต่ละปีประมาณ 12,000 ล้านบาท และมีพนักงานประมาณ 16,000 คน ซึ่งเฉลี่ยพนักงานทำรายได้กว่า 1 เท่า สำหรับในปีนี้ธนาคารยังคงมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อไป และคาดว่าปีนี้จะมีกำไร มากกว่าปกติ เนื่องจากมีรายได้พิเศษจากขายหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนหรือจากการปรับโครงสร้างหนี้ เมื่อมีกำไร หรือบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปก็ขายคืนให้กับเจ้าของเดิม

ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนของการลงทุนในหุ้นบริษัทต่างๆ ประมาณ 20% ของเงินกองทุน แยกเป็นการถือหุ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้หรือแปลงหนี้เป็นทุนประมาณ 4-5% ซึ่งอยู่กรอบของธปท. จากเดิมที่อยู่ระดับ 22-23% เนื่องจากมีการทยอยขายออกไป และสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารเพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพหุ้นกู้ในปีนี้ 4,000 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งนั้น คุณหญิงชฎา กล่าวว่า จะทำให้การดำเนินนโยบายการค้าและการเงินระหว่างประเทศมีความต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นที่ต้องจับตามอง เนื่องจากยังมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มากถึง 5.5% และการขาดดุลการค้า การคลัง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลกอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น

"ปัจจัยต่างๆ อาจจะมีผลกระทบต่อไทยที่มีการพึ่งพาการส่งออก แต่เชื่อว่าผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์คงจะมีต่อเงินบาทไม่มาก เพราะการที่ไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ก็ทำให้ทางการมีการเข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us