Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2545
The Divine Right of Capital             
 





ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

"ความรับผิดชอบของบริษัท" มีความหมายแตกต่างกันไปตามจุดยืนที่แตกต่างกันของผู้ให้คำจำกัดความ เช่น กรณีที่บริษัทปรับโครงสร้าง ลดขนาด และปลดพนักงาน ผู้ที่ยืนอยู่ข้างบริษัทย่อมอ้างว่า เพราะบริษัทคงอยู่เพื่อรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นจะต้องได้รับผลตอบแทนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในขณะที่ผู้ที่ยืนอยู่ฟากตรงข้ามกับบริษัทย่อมจะแย้งว่า บริษัทสมควรจะรับผิดชอบต่อพนักงานลูกจ้างและชุมชนเช่นกัน เพราะพนักงานและชุมชนก็มีสิทธิทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกับผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของเงินทุนเหมือนกัน

แนวคิดที่ว่าผู้ถือหุ้นสำคัญที่สุดหรือแนวคิดที่ว่าบริษัทคงอยู่ ก็เพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นแนวคิดที่ถูกอ้างถึงเป็นประจำว่าเป็นกฎข้อแรกของธุรกิจอเมริกัน หลายคนเชื่ออย่างสนิทใจว่า แนวคิดนี้คือกฎธรรมชาติของตลาดเสรี แต่ผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับบริษัทอย่างเช่น Marjorie Kelly ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้กลับเห็นว่า แนวคิดผู้ถือหุ้นสำคัญที่สุดนั้น หาใช่เป็นหลักการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ หากแต่เป็นแนวคิดที่มีรากฐานมาจากชนชั้นสูงผู้เป็นอภิสิทธิ์ชนในอดีต เพื่อพิสูจน์ความเชื่อของเธอ Kelly จึงเขียนหนังสือชื่อ The Divine Right of Capital ขึ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า บริษัทเป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นจากหลักการ 6 ข้อ ซึ่งให้อภิสิทธิ์แก่คนร่ำรวย อันเป็นที่มาของแนวคิดการให้ความสำคัญแก่ผู้ถือหุ้นสูงสุด โดยไม่สนใจสิทธิของชุมชนและพนักงานของบริษัท Kelly เห็นว่า หลักการทั้งหกนั้น นอกจากจะไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและไม่มีเหตุผลรองรับแล้ว ยังไม่สอดคล้องกับแนวคิดประชาธิปไตยในปัจจุบันด้วย

เงินกับอำนาจ

ครึ่งแรกของหนังสือ Kelly แจกแจงให้เห็นผลเสียของแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นสูงสุด หลังจากนำผู้อ่านตรวจสอบหลักการที่เป็นพื้นฐานของการก่อกำเนิดบริษัท ทั้งในอดีตและปัจจุบันอย่างละเอียดแล้ว Kelly ชี้ให้เห็นว่า คนรวยมีอำนาจมากเกินไปในโลกทุกวันนี้ และมีอำนาจมากเกินไปเหนือบริษัท ซึ่งเป็นสถาบันทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดของโลกยุคนี้ ที่สำคัญเธอเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า อำนาจดังกล่าวไม่เพียงทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดอภิสิทธิ์ของความร่ำรวย ที่ทำให้คนจนเสียภาษีมากกว่าคนรวยอย่างไม่มีเหตุผล

The Divine Right of Capital จึงเสนอหลักการ 6 ประการที่จะสร้าง "ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ" ซึ่งให้ความสำคัญแก่สิทธิของพนักงานลูกจ้างและชุมชนเท่าเทียมกับสิทธิของผู้ถือหุ้น และเสนอแนวคิดให้มองว่า บริษัทก็เป็นชุมชนประเภทหนึ่ง Kelly ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งวารสาร Business Ethics กระตุ้นคนอเมริกันชาติเดียวกับเธอว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ สามารถต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดจากการให้ความสำคัญแก่ผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรกได้ ด้วยการใช้หลักการทั้งหกที่เธอนำเสนอนี้ ไปทำให้ทุกคนตระหนักถึงการเลือกปฏิบัติทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนร่ำรวยมีอภิสิทธิ์มากกว่า และใช้หลักการเหล่านี้ของเธอส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างภายในบริษัท

Kelly เขียนต่อไปว่า ความไม่เท่าเทียมกันของคนรวยกับคนจน สวัสดิการบริษัท และมลพิษอุตสาหกรรม คืออาการแสดงของเศรษฐกิจที่กำลังต้องการการดูแลเอาใจใส่ Kelly ไม่เพียงชี้ให้เห็นปัญหาที่บริษัทสร้างขึ้น แต่เธอยังได้พยายามมองหาหนทางแก้ไข และแสดงความเชื่อมั่นว่า อาการป่วยของเศรษฐกิจนี้จะต้องได้รับการเยียวยาแก้ไข มากกว่าการละเลยหรือก้มหน้ายอมรับโดยดุษณี

ทฤษฎีของ Thomas Paine

สำหรับทางออกของสถานการณ์เกี่ยวกับบริษัทในปัจจุบัน Kelly คิดว่า คือการเร่งสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจโดยเร็ว ด้วยการผสมผสานทฤษฎีของ Thomas Paine เข้ากับนักคิดที่ร่วมสมัยกว่าคนอื่นๆ Kelly ได้สร้างแนวคิดใหม่ที่อาจเป็นพื้นฐานสำหรับการปฏิรูปบริษัทในอนาคต นอกจากการใช้สำนวนภาษาอย่างมีศิลปะและชั้นเชิงในการกระตุ้นให้คนฟังคิดตาม และการใช้ศัพท์แสงทางธุรกิจในการเสนออุดมคติทางธุรกิจแบบก้าวหน้าแล้ว Kelly ยังเสนอ "ก้าวเล็กๆ" หลายก้าวที่บริษัทอาจนำไปใช้เพื่อการเริ่มก้าวไปสู่การเป็นบริษัทที่คำนึงถึงชุมชนมากขึ้น

Kelly ระบุว่า หนังสือของเธอ "ทำการตรวจสอบโลกทัศน์ของบริษัท ว่ายังคงมีรากฐานอยู่ในยุคก่อนประชาธิปไตยจริง และเสนอแนะว่าเราควรปฏิรูปบริษัทอย่างไร" เธอเป็นผู้ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการรื้อทำลายความลำเอียงที่เกิดจาก "อภิสิทธิ์ของความร่ำรวย" ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะรับใช้แต่คนรวยจำนวนน้อยนิด แต่ไม่สนใจคนจนจำนวนมากกว่า

ตามความเห็นของ Kelly อภิสิทธิ์ของความร่ำรวยเป็นส่วนหนึ่งของการก่อกำเนิดบริษัท และเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยและอุดมการณ์ตลาดเสรี ซึ่งเธอเรียกมันว่า "อำนาจสิทธิขาดของเงินตรา" เพื่อทำลายอำนาจสิทธิขาดของเงินที่ครอบงำเรา เธอกระตุ้นให้คนอเมริกันรำลึกถึงบรรพชนผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐฯ ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย พร้อมให้ตัวอย่างมากมายที่พนักงาน นักศึกษาด้านธุรกิจ นักลงทุน ผู้บริหาร และประชาชน สามารถจะนำไปใช้เป็นแบบอย่างสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับบริษัท เธอไม่ได้เรียกร้องให้คนอเมริกันลุกขึ้นมาปฏิวัติบริษัท เธอเพียงแต่เสนอวิธีที่บริษัทจะใช้กำจัดอภิสิทธิ์ของเงินตราออกไปจากระบบของตน โดยไม่แตะต้องให้บริษัทเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับจะทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากขึ้น

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ซึ่งทำให้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดคือ งานค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และการสรุปบทเรียนที่ได้จากประวัติศาสตร์ของ Kelly เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เธอยังได้คิดคำศัพท์ใหม่ๆ อย่าง "อภิสิทธิ์ของความร่ำรวย" (wealth discrimination) และกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่เป็นผลตามมา แน่นอนว่ามุมมองของ Kelly ย่อมจะมีผู้ที่ไม่เห็นพ้องด้วย แต่เธอก็ทำให้คนอเมริกันต้องหยุดคิดว่า บริษัทอเมริกันทุกวันนี้ได้พาตัวเองถอยห่างออกจากหลักการประชาธิปไตย อันเป็นหลักการของการก่อตั้งประเทศสหรัฐฯ มาไกลเพียงใดแล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us