|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2547
|
|
ก้องเกียรติ โอภาสวงการ เป็นคนหนึ่งที่สามารถสร้างสมความมั่งคั่งให้กับตนเองและครอบครัวได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันนอกจากบ้านที่เป็นที่พักอาศัยประจำในหมู่บ้านเลคไซด์ วิลลา 2 ริมถนนบางนา-ตราด ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่แล้ว เขายังมีบ้านพักตากอากาศที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ และคอนโดมิเนียมที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อีก 1 แห่ง
ไม่นับรวมงานศิลป์ ทั้งที่เป็นภาพวาด ภาพแกะสลัก และพรมเปอร์เซียอีกนับ 100 ชิ้น ที่เขาใช้เวลาสะสมมาเกือบ 10 ปี
ทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นผลตอบแทนจากรายได้ที่ต้องทำงานหนักมาตลอดนับตั้งแต่เรียนจบ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีทรัพย์สินอย่างทุกวันนี้ได้คือ เขาเป็นคนไม่ชอบความเสี่ยง โดยเฉพาะการสร้างหนี้
"หนี้ชิ้นแรกที่ผมมีคือกู้ซื้อรถยนต์คันแรกจากแบงก์กสิกรไทย แล้วตอนนั้นพอผมมีเงิน ผมรีบคืนเลย" เขาบอก
ส่วนหนี้ก้อนที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากเขาตัดสินใจลาออกจากแบริ่ง รีเสิร์ช เพื่อมาสร้างกิจการเป็นของตัวเอง คือบริษัทแอสเซ็ท พลัส
"ความเสี่ยงครั้งแรกที่ผม take คือตอนตั้งบริษัท ต้องไปกู้เงินมาลงด้วย แต่เราก็รู้ว่าถ้ามันเสียหาย เราจะเหลือเท่าไร แล้วถ้าไม่เสียหาย เราจะได้เท่าไร ปรากฏว่าได้มาหลายเท่าภายในเวลาไม่กี่เดือน กู้เงินมา แต่ไม่แนะนำ เป็นครั้งเดียวในชีวิต ก็เลยทำให้มีทุนที่จะไปซื้อบริษัทหลักทรัพย์ได้"
ทุนที่เขาใช้ไปซื้อใบอนุญาตบริษัท บล.ชาวไทย เมื่อปี 2537 ประมาณกันไว้ว่าอยู่ในระดับ 500 ล้านบาท
ก้องเกียรติมีนิสัยชอบสะสมมาตั้งแต่เด็ก และแนวคิดในการสะสมของแต่ละชิ้นต่างสอดรับกับบุคลิกของเขา เพราะของทุกชิ้นเขาต้องพิจารณาแล้วว่ามีที่มาที่ไป ที่สำคัญต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ให้กับเขาได้ในอนาคต
ว่ากันว่าสมัยเขาเป็นนักเรียน เขาเคยเป็นนักสะสมแสตมป์ตัวยง และเคยทำกำไรจากแสตมป์ที่เขาสะสมได้มากพอสมควร
พอโตขึ้น เขาเปลี่ยนมาสะสมงานศิลป์ เริ่มจากภาพเขียนของศิลปินชื่อดังของไทย ทั้งถวัลย์ ดัชนี, เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, ประเทือง เอมเจริญ, สวัสดิ์ ตันติสุข, อวบ สาณะเสน ฯลฯ ส่วนใหญ่ล้วนรู้จักกับก้องเกียรติเป็นการส่วนตัว
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ให้การสนับสนุน โดยซื้อผลงานของศิลปินหน้าใหม่อีกหลายคน
เขาปฏิเสธเกี่ยวกับคำถามที่ว่าการสะสมรูปภาพถือเป็นการลงทุนส่วนตัวอย่างหนึ่งหรือไม่" รูปภาพนี่ผมสะสมเพราะชอบ ไม่ใช่ลงทุน และดูฐานะแล้วพร้อมจะสะสมได้"
ปัจจุบันรูปภาพของศิลปินชื่อดังของไทย ส่วนใหญ่ถูกนำไปเป็นเครื่องประดับในสำนักงานบนอาคารสาทรซิตี้ ซึ่งเขาเพิ่ง ย้ายเข้าไปอยู่เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา
ในสำนักงานแห่งนี้ออกแบบโดยบริษัท PIA โดยมีคอนเซ็ปต์เป็นแกลเลอรี่ เพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงานให้พนักงานมีสมาธิอย่างเต็มที่ โดยมีงานศิลป์เป็นจุดพักสายตา หรือผ่อนคลายอิริยาบถจากความเครียด
แต่กับที่บ้านของเขา หากเปรียบไปแล้วภาพวาดของศิลปินชาวไทยเริ่มมีสัดส่วนที่น้อยกว่าภาพวาดและงานแกะสลัก ซึ่งเป็นงานศิลป์ของเก่า และสั่งซื้อโดยตรงมาจากต่างประเทศ
ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับแนวคิดในการสะสมงานศิลป์ของเขาที่ได้มีพัฒนาการขึ้นมาแล้วอีกระดับหนึ่ง
"ภาพวาดของไทย ตลาดที่จะซื้อขายกันจริงๆ ไม่ค่อยมี" เป็นคำตอบสั้นๆ สำหรับคำถามของ "ผู้จัดการ" ที่ถามถึงการหันมาเริ่มสะสมงานศิลป์จากต่างประเทศ เนื่องจากเห็นว่ามีโอกาสที่จะขายต่อได้ง่ายกว่าหรือเปล่า
นอกจากงานศิลป์แล้ว ของสะสมที่โดดเด่นของก้องเกียรติอีกอย่างหนึ่งก็คือ พรมเปอร์เซีย ซึ่งถูกปูอยู่ในหลายมุมของห้องแทบจะทุกห้องภายในบ้าน ซึ่งเขาบอกว่าเริ่มสะสมมาได้ประมาณ 7 ปี โดยมีเอเย่นต์ในประเทศไทยเป็นผู้สั่งซื้อให้จากประเทศอิหร่านโดยตรง
ทุกวันนี้เวลาในการทำงานของก้องเกียรติเริ่มมีเวลาว่างมากขึ้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เขาจะไปตีกอล์ฟตั้งแต่เช้ากับลูกชาย วัย 13 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียน Shrewbury International School Bangkok ของชาลี โสภณพนิช ที่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนสำคัญของเขาแล้วที่ บล.เอเชีย พลัส
"ผมเป็นคนใช้ชีวิตเป็นนะ ทุกเช้าเสาร์-อาทิตย์ ผมจะไปตีกอล์ฟ แล้วผมก็ไปตั้งแต่ 6 โมงเช้า 10 โมงก็ตีเสร็จ"
ส่วนช่วงบ่าย เวลาส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านเพื่ออ่านหนังสือหรือชื่นชมกับงานศิลป์และพรมที่สะสมไว้
เขาบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาเพิ่งมีโอกาสได้เล่นจริงๆ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา หลังได้เข้าเรียนหลักสูตร วปรอ.
แต่หากช่วงไหนเขามีเวลาว่างจริงๆ และเป็นเวลาว่างที่ตรงกับครอบครัว เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ
"ผมชอบไปเที่ยว ไปดูงานศิลป์ในที่ต่างๆ ในต่างประเทศ"
ก้องเกียรติไม่เคยนั่งคำนวณว่า ปัจจุบันทรัพย์สินที่เขาสะสมไว้มีมูลค่าเท่าไร เพราะเขาเห็นว่าไม่มีความจำเป็น แต่เขาบอกว่าทรัพย์สินที่เขามีมากที่สุดคือ "เงินสด" และทรัพย์สินที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เช่น เพชร
"ผมไปเรียนเมืองนอกมานานและยังชอบท่องเที่ยวก็เลยทำให้มีแนวคิดและไลฟ์สไตล์หลายอย่างที่เอนเอียงไปทางตะวันตก" เขาสรุป
|
|
|
|
|