|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2547
|
|
ความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ บวกกับวัฒนธรรมความเอาใจใส่และใกล้ชิดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ทำให้ปีนี้ North-western University's Kellogg School of Management ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในผลการสำรวจ 2 ปีครั้ง "มหาวิทยาลัยธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก" ประจำปี 2004 ของ BusinessWeek ได้อีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ และทำให้ขณะนี้ Kellogg มีภาษีดีกว่า University of Pennsylvania's Wharton School ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่เคยครองอันดับหนึ่งมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ นิตยสารฉบับนี้ เริ่มการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ธุรกิจโลกตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา
ส่วนอันดับสองยังคงเป็น University of Chicago Graduate School of Business ซึ่งครองอันดับสองติดต่อกันเป็นครั้งที่สามแล้ว นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดอันดับเป็นต้นมา ลักษณะของ Chicago แทบจะเรียกได้ว่าตรง ข้ามกับ Kellogg อย่างสิ้นเชิง Chicago เน้นการมีสภาพแวดล้อมที่เคร่งขรึมมากกว่าความ สัมพันธ์ที่อบอุ่น และมุ่งเน้นความสำคัญของการวิจัย ความเด่นอีกประการของ Chicago คือบัณฑิตที่จบไปเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดของ บริษัทที่ว่างจ้างบัณฑิต MBA โดยพวกเขาระบุว่า บัณฑิต Chicago "คิดเป็น" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่บริษัทให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง
ความโดดเด่นในเรื่องทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) ของ Chicago มีมานานแล้ว แต่ปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนคือ ความกระตือรือร้นทั้งในหมู่ลูกศิษย์และคณาจารย์ของ Chicago ซึ่งต้องยกความดีให้แก่ Edward A. Snyder คณบดีและศิษย์เก่า ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งในปี 2001 และใช้เวลาเพียง 3 ปีวางแผนปลุกมหาวิทยาลัยธุรกิจให้มีชีวิตชีวา และสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการปลุกเร้าทางความคิด ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ นักศึกษาทุกคนจะได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานมื้อเช้าแบบโต๊ะกลมประจำสัปดาห์กับ Snyder อย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งจะคุยเรื่องอะไรก็ได้ทุกเรื่อง
บทเรียนที่เจ็บปวดในการจัดอันดับประจำปีนี้ตกเป็นของสถาบันที่ได้อันดับสามคือ Wharton ซึ่งในปี 2002 ได้ตกจากบัลลังก์ อันดับหนึ่งตลอดกาล ไปอยู่ที่อันดับห้า เนื่องมาจากความพึงพอใจ ของนักศึกษาที่ลดน้อยลง และการทำงานที่ไม่ได้ผลของสำนักบริการแนะนำอาชีพบัณฑิตของมหาวิทยาลัย รวมทั้งจำนวนบัณฑิต ที่ได้งานทดลดลง ทั้งหมดนี้คือสาเหตุสำคัญของความตกต่ำของ Wharton
อย่างไรก็ตาม Wharton ได้กู้ชื่อในส่วนของสำนักบริการแนะนำอาชีพบัณฑิตได้สำเร็จแล้ว เมื่อผลสำรวจบริษัทที่รับบัณฑิต MBA ของที่นี่เข้าทำงานระบุว่า สำนักบริการแนะนำอาชีพให้แก่บัณฑิตของ Wharton มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Wharton กระเตื้องขึ้นมาอยู่ในอันดับสามในปีนี้ นอกจากนี้ Wharton ยังได้ปรับปรุงอีกหลายด้าน โดยรับอาจารย์ใหม่ 23 คนในหลายๆ สาขาวิชา และมีการปรับหลักสูตรให้ดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มวิชา "soft skills" อย่างการสื่อสารขึ้น
วิชาการเข้มข้น
ความเข้มข้นด้านวิชาการเป็นสิ่งสำคัญที่นักศึกษาใช้ตัดสินว่า MBA ที่ใดดีที่สุด หลังจากที่หลายปีที่ผ่านมา ปริญญาใบนี้ดูเหมือนจะเริ่มเสื่อมค่าลงทุกขณะ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาว ทางจริยธรรมขึ้นกับบริษัทหลายแห่ง ที่มักจะมีบัณฑิต MBA เข้าไปเกี่ยวข้อง
ดังนั้นในปีนี้ มหาวิทยาลัยธุรกิจที่มีชื่อเสียงในด้านความเข้มข้นทางวิชาการ จึงต่างได้รับอันดับที่ดีขึ้นไปตามๆ กัน ทั้งจาก การให้คะแนนของนักศึกษาและบริษัทที่รับบัณฑิตเข้าทำงาน เช่น Carnegie Mellon Tepper School of Business ซึ่งมีชื่อเสียงในการผลิตบัณฑิต MBA ที่มีทักษะในด้านการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ไต่อันดับดีขึ้น 4 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 15 ในขณะที่ Purdue University's Krannert School of Management ซึ่งมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี กระโดดขึ้นไป 5 อันดับไปอยู่ที่อันดับ 21 แม้ว่านักศึกษาจะยังไม่พอใจบริการช่วยหางานของ Purdue และบ่นว่าสายสัมพันธ์กับศิษย์เก่าก็ไม่มีส่วนช่วยในการหางาน
ส่วนมหาวิทยาลัยที่ไม่สามารถสนองความต้องการด้านวิชาการของนักศึกษาได้ ก็ประสบความล้มเหลวในการจัดอันดับปีนี้เช่น University of Southern California's Marshall School of Business ตกรูด 10 อันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 27 แม้ว่าปีนี้สามารถ ทำให้นักศึกษาได้รับคะแนนสอบ GMAT เฉลี่ย สูงสุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยก็ตาม
ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ตลาดงานสำหรับบัณฑิต MBA เริ่มฟื้นตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี บัณฑิตประมาณ 75% ที่จบจาก มหาวิทยาลัยธุรกิจที่ดีที่สุดทั้ง 30 แห่ง ได้รับ การเสนองานอย่างน้อย 1 แห่งทันทีที่จบการ ศึกษา และเมื่อผ่านไป 3 เดือนหลังจบการศึกษา มีบัณฑิตเพียง 11% เท่านั้นที่ยังคงมองหางาน เทียบกับ 35% ในปี 2003
บัณฑิต Harvard มีอัตราการได้งานทำที่ดีที่สุดในปีนี้ โดย 94% ของบัณฑิตได้รับ การเสนองานอย่างน้อย 1 แห่งทันทีที่เรียนจบ และบัณฑิตแต่ละคนได้รับการเสนองานโดยเฉลี่ย 2.6 งาน แม้นักศึกษาจะบ่นเรื่องที่ Harvard ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการสร้างสายสัมพันธ์กับบริษัทขนาดเล็กก็ตาม
ขณะเดียวกันก็พบว่า ค่าตอบแทนทั้งหมดรวมเงินเดือน โบนัสและผลประโยชน์ทุกอย่าง ที่บัณฑิต MBA ได้รับเพิ่มขึ้นถึง 26% ไปอยู่ที่ระดับ 136,569 ดอลลาร์ในปีนี้
บริษัทกลับมาอ้าแขนรับ MBA ผลสำรวจของ BusinessWeek พบว่าปีนี้บริษัทที่ปรึกษาและธนาคารจ้างงานบัณฑิต MBA เพิ่มขึ้น 21% และอาจเพิ่มขึ้นอีก ในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังพอใจในความสามารถของบัณฑิตมาก ขึ้น โดย 50% ของบริษัทที่ได้รับการสำรวจบอกว่าทักษะและความ สามารถของบัณฑิตในวันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่มหาวิทยาลัยธุรกิจได้นำเทคโนโลยีการเรียนรู้ใหม่ๆและเน้นการปฏิบัติมาใช้ ซึ่งเน้นให้บัณฑิตได้รับความรู้จริงๆ ว่าโลกธุรกิจที่พวกเขากำลังจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร
นักศึกษา MBA ยุคนี้จึงไม่ได้เพียงแต่ "เรียน" การเงิน กลยุทธ์การตลาด หรือการบริหารแบรนด์เท่านั้น แต่พวกเขาได้ลงมือ "ทำ" จริงๆ ด้วย โดยผ่านการทำโครงการที่จะต้องขอคำปรึกษาจากบริษัทจริงๆ
อย่างเช่นที่ Kellogg หลังจากที่นักศึกษาได้เรียนวิชาการทำตลาดสินค้าเทคโนโลยีแล้ว ก็จะได้ลงมือทำโครงการจริงๆ ของ บริษัท Microsoft โดยจะได้ขอคำปรึกษาจากผู้บริหารระดับสูงของ Microsoft ด้วย นักศึกษาได้ระบุปัญหา เขียนกรณีศึกษา และคิดวิธีแก้ปัญหา ซึ่ง Microsoft ได้นำความคิดแก้ปัญหาทางการตลาด ในโครงการดังกล่าวของนักศึกษาหลายคนไปปฏิบัติจริงในการริเริ่มโครงการ .Net ของบริษัท ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มขายซอฟต์แวร์ Windows ในฐานะเป็นบริการหนึ่งเป็นครั้งแรก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลักสูตร MBA ของ Kellogg ได้รับความชื่นชมจากบริษัท ต่างๆ ว่าเป็นหลักสูตร MBA ที่สร้างสรรค์ที่สุด
ภาวะผู้นำ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย MBA ของโลกในปีนี้คือ การที่นักศึกษาตระหนักว่า ภาวะผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ ไม่แพ้ความรู้ในการจัดสรรค่าใช้จ่ายและการวางแผนกลยุทธ์
Havard Business School ซึ่งมีศิษย์เก่าเป็นผู้บริหารมากมาย เป็นผู้นำในการเปลี่ยนและได้เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อทำการรื้อหลักสูตรหลักของตนเป็นครั้งแรก ในรอบ 25 ปี และเปิดตัวหลักสูตรภาวะผู้นำ และจรรยาบรรณซึ่งใช้เวลาเรียน 1 ปี สอนโดยศาสตราจารย์ระดับหัวกะทิ 10 คนจากทั้งหมด 35 คนของสถาบัน
ตามด้วย University of Michigan's Stephen M. Ross School of Business ที่ขยายหลักสูตรภาวะผู้นำ ซึ่งเป็นเรือธงของสถาบัน จาก 1 สัปดาห์เป็น 2 สัปดาห์ และสัปดาห์ ที่สามจะสอนก่อนที่นักศึกษาจะจบการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้สถาบันได้อันดับดีขึ้น 2 อันดับเป็นอันดับที่ 6 ในปีนี้
ส่วน University of Virginia's Darden Graduate School of Business Administration ได้จัดทำกรณีศึกษาภาวะผู้นำกับคุณธรรมขึ้น 2 กรณี ในขณะที่ Emory University's Goizueta school of Business ได้อันดับดีขึ้น 2 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 20 ในปีนี้ หลังจากนักศึกษาพอใจที่สถาบันให้ความสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มพูนทักษะการเป็นผู้นำ
แต่ที่แปลกแหวกแนวกว่าใครคือ Babson College's F. W. Olin School of Business ซึ่งเพิ่งติดอันดับมหาวิทยาลัยธุรกิจยอด เยี่ยมของโลกในปีนี้เป็นปีแรก โดยได้สอนวิชา "การเป็นผู้ประกอบ การ" แม้ว่าบัณฑิตยังคงออกไปทำงานให้แก่บริษัท แทนที่จะเริ่มธุรกิจของตน แต่บริษัทก็พึงพอใจในความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ของบัณฑิตจากสถาบันแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ Babson ชี้ว่า นอกจากนักศึกษา MBA จะต้องรู้พื้นฐานธุรกิจในด้านต่างๆ แล้ว ทักษะการสร้างธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการทำงานใหม่ หรือบริการใหม่ คือสิ่งที่จะผลักดันให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น
|
|
|
|
|