เดนมาร์กเป็นประเทศที่ทั่วโลกยอมรับในวิชาการด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะการต่อเรือ
ซึ่ง Ove Arup ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทวิศวกรรมใหญ่ที่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญในโครงการก่อสร้างสะพานข้ามช่องแคบ
Sound ด้วย
นอกเหนือจากนี้ เดนมาร์กยังเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีกังหันลมใหญ่อันดับ 2
ของโลก เป็นรองเฉพาะเยอรมนีเท่านั้น เทคโนโลยีกังหันลมจึงเป็นอุตสาหกรรมทำเงินเข้าประเทศเป็นอันดับ
3 เลยทีเดียว เพราะเดนมาร์กมีสภาพภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการทดสอบการทำงานของกังหันลม
จากการที่มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลมากมาย และมีกระแสลมแรงตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมกังหันลมระดับแถวหน้าของโลก
แม้แต่สหรัฐ อเมริกาก็ยังเป็นลูกค้านำเข้ากังหันลมรุ่นแรกที่ผลิตป้อนตลาดโลกในช่วงต้นทศวรรษ
1980
และข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครล่วงรู้กันนักก็คือ ปัจจุบันพลังลมที่นำมาใช้เป็น
พลังงานในทั่วโลกนั้น 55% ใช้เทคโนโลยีที่ออกแบบโดยเดนมาร์ก โดยตลาดกังหันลมอยู่ในมือของ
4 บริษัทสำคัญคือ เวสตัส ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ตามด้วย โบนุส, เอ็นอีจี
ไมคอน และนอร์เด็กซ์
เดนมาร์กเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปรับตัวต่อปัญหาวิกฤติ
การณ์พลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกในทศวรรษ 1970 ได้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นลงทุนและออกกฎหมายที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรพลังงานแบบยั่งยืน
ซึ่งต่อมาเมื่อรัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับแล้วว่า พลังลมเป็นพลังงานแบบยั่งยืนแน่นอน
เดนมาร์กสามารถขยายอุตสาหกรรมพลังลมมูลค่าหลายพันล้านโครเนอร์ได้ทันที
เดนมาร์กยังเน้นการลงทุนเพื่อบรรลุนโยบายของประเทศในระยะยาว คือ ลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้
50% ในปี 2030 ตัวอย่างรูปธรรมในกรณีนี้คือ การก่อตั้งศูนย์ Solar Energy
Centre ที่ทาสทรุปในปี 1981 โดยทุ่มงบให้ถึงปีละ 50 ล้านโครเนอร์ และเน้นบูรณาการเชิงสถาปัตยกรรมด้านแผงพลังงานแสงอาทิตย์รวมทั้งงานติดตั้งโครงการ
ขนาดใหญ่