|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
จี สตีลเตรียมเพิ่มกำลังการผลิต จาก 1.8 ล้านตันเป็น 3.4 ล้านตันต่อปี ใช้เวลาดำเนินการ 15-18 เดือน ชี้จะช่วยทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าโดยจะสามารถรับรู้รายได้ ภายในปี 2549 ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 1.4 หมื่นล้านบาทมาจากทำไอพีโอ 50% และกู้จากสถาบันการเงิน อีก 50%
นายเรียวโซ่ โอกิโน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทจี สตีล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจากกระบวนการผลิตเดิม 1.8 ล้านตันต่อปี เพิ่มเป็น 3.4 ล้านตันต่อปี โดยจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15-18 เดือนซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2548 และจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2549 และจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปัจจุบันที่มีรายได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2549 จะเพิ่ม เป็น 6 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันนี้บริษัทจี สตีลนับได้ว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กครบวงจรตั้งแต่การหลอม หล่อ รีดร้อน รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีกำลังการผลิตในระดับ 1.3-1.4 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวม โดยกำลังการผลิต 95% เป็นการขายภายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 5% ส่งไปขายในต่างประเทศเช่นประเทศแคนาดา และยุโรป สาเหตุที่ขายภายในประเทศในสัดส่วนที่มาก เนื่องจากขณะนี้ความต้องการเหล็กภายในประเทศอยู่ในระดับที่สูงจึงจำเป็นต้องขายในประเทศ ก่อน
นายเรียวโซ่กล่าวว่า เงินลงทุนที่จะใช้ในการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าวประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นเงินที่มาจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชน ทั่วไป (IPO) ประมาณ 50% ของเงินลงทุน และอีก 50% จะเป็นเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงินในประเทศซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทจี สตีลถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้กับสถาบันการเงินเลย เนื่องจากภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้แล้วก็ได้ดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนหลังจากการลงทุนในเฟสแรก ในการขยายกำลังการผลิตแล้วจะทำให้บริษัทสามารถประหยัดเงินตรา ต่างประเทศในส่วนของการชดเชยการนำเข้าและส่วนหนึ่งที่จะสามารถส่งออกไปได้จำนวนปีละประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นบริษัทมีแผนในส่วนของเฟสที่สองที่จะทำเกี่ยวกับโรงถลุงเหล็กซึ่งจะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าอยู่ในระดับ 1 แสนล้านบาทภายหลังปี 2550 แล้ว
สำหรับความคืบหน้าในการนำบริษัทจี สตีลเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วซึ่งจะต้องรอให้สำนักงานก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบเสียก่อน โดยบริษัทนำหุ้นออกมากระจายจำนวน 20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียน ทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทมีทุนเรียกชำระแล้ว 8,200 ล้านบาท
"เชื่อว่าภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้าความต้องการ เหล็กยังมีอยู่มากดังนั้นจึงเชื่อว่าราคาเหล็กคงจะอยู่ในระดับทรงตัวในระดับสูงต่อไปอีกเพราะขณะนี้ความต้องการในตลาดโลกมีมากกว่าจำนวนเหล็กที่ผลิตออกมา" นายเรียวโซ่กล่าว
โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทจีสตีลนั้นจะมีนายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทถือหุ้นอยู่ประมาณ 1% และครอบครัวของนายสมศักดิ์ประมาณ 10% ผู้ถือหุ้นใหญ่คือพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 60-70% ซึ่งหลังจากกระจายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปแล้วจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงประมาณ 20%
ทั้งนี้ คาดว่าหุ้น บริษัท จี สตีลจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเป็นบริษัทที่ไม่มีภาระหนี้ นอกจากนี้แนวโน้มธุรกิจเหล็กยังดีอยู่เพราะความต้องการเหล็กยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
|
|
|
|
|