Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 ตุลาคม 2547
BAT-3Kยันตรึงราคาช่วยลูกค้ามั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ2พันล้านบ.             
 


   
search resources

ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่, บมจ.




BAT-3K ยืนยันตรึงราคาขายแบตเตอรี่สำหรับลูกค้าภายในประเทศออกไปจนถึงสิ้นปี มั่นใจไม่กระทบรายได้รวมของบริษัทที่คาดว่าจะมียอดขายทะลุ 2 พันล้านบาท เนื่องจากสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 3 แสนลูกต่อเดือน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง โดยที่ไม่จำเป็นต้องขยับราคาขายในประเทศ ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 แย้มขยับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นางสาววีรวรรณ ขอไพบูลย์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบริหาร บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) (BAT-3K) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงยืนยันที่จะไม่ปรับราคาขายแบตเตอรี่ในประเทศไปจนถึงสิ้นปี 2547 เพื่อช่วยเหลือลูกค้า แม้จะได้รับผลกระทบจากราคาตะกั่ว และพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก บริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตจาก 2.5 แสนลูกต่อเดือน เป็น 3 แสนลูกต่อเดือน จากการขยายสายการผลิตที่เดิมคาดว่าจะสามารถผลิตได้ในต้นปีหน้า แต่สามารถผลิตได้ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลงได้ ซึ่งทำให้ยังสามารถตรึงราคาแบตเตอรี่ไปจนถึงสิ้นปีได้

ในไตรมาส 3 เราได้เพิ่มการผลิตจาก 2 แสนลูกเป็น 2.5 แสนลูก และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 แสนลูกในต้นปีหน้า แต่การที่เราสามารถผลิตได้ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับราคาในขณะนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าในประเทศ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 50% ขณะที่ลูกค้าต่างประเทศมีสัดส่วน 50% เช่นเดียวกัน

สำหรับการปรับราคาขายแบตเตอรี่ในประเทศในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการขยับราคาขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 6% เพื่อลดภาระต้นทุนตะกั่วและพลาสติกที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 20% โดยปัจจุบันราคาตะกั่วปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากที่ ต้นปี 2546 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเท่านั้น

นางสาววีรวรรณกล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ที่เตรียมประกาศออกมามีแนวโน้มสดใสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2547 ทั้งปี คาดว่าจะมียอดขายสูงกว่า 2 พันล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการเพิ่มกำลังการผลิตได้สูงกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ โดยในปี 2546 บริษัทมียอดขายประมาณ 1.8 พันล้านบาท

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า ยอดขายแบตเตอรี่ของ BAT-3K ในปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 2,172 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการเพิ่มราคาขายเฉลี่ยปีนี้ราว 16% ประกอบกับการที่บริษัทมีส่วนแบ่งในตลาด REM (ตลาดทดแทน) เป็นอันดับ 2 รองจาก GS ประมาณ 27% ซึ่งทำให้ BAT-3K ได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเติบโตเฉลี่ยราว 30% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรถยนต์เหล่านี้จะมีความต้องการใช้แบตเตอรี่ทดแทนในปีนี้ (อายุใช้งานของแบตเตอรี่อยู่ประมาณ 2-3 ปี)

ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรีอยุธยา ยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้นของ BAT-3K เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากยอดจำหน่ายแบตเตอรี่ในประเทศที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และ ยังสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจแม้ราคาตะกั่วจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากก็ตาม เนื่องจากบริษัทสามารถผลักภาระส่วนใหญ่ไปให้ลูกค้าได้ และการลดต้นทุนการผลิตภายในบริษัทจากการประหยัดต่อขนาดด้วย

นอกจากนี้ ฐานะการเงินของบริษัทที่ดีมาก และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับใช้ได้ที่ระดับ 4.05% โดย ณ ราคาปิดที่ 55.50 บาทซื้อขายกันที่ P/E และ EV/EBITDA ที่ต่ำเพียงแค่ 7.49 และ 4.63 เท่า และยังคงราคา เป้าหมายที่ระดับ 74.00 บาท

ขณะที่ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ไซรัส ประเมินว่า ยอดขายในครึ่งปีหลังคาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกของปีนี้เล็กน้อย เนื่องจากตามลักษณะของธุรกิจส่วนใหญ่ไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้นสูง โดยคาดว่าครึ่งปีหลังจะมียอดขายประมาณ 1,182 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% ของคาดการณ์รายได้สำหรับปี 2547 ที่ 2,266 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2548 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 150 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 7.50 บาท ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2547 คาดว่าจะอยู่ที่ 125 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.25 บาทต่อหุ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us