แบงก์นครหลวงไทยแชมป์กำไรสุทธิงวด 9 เดือนเติบโตสูงสุดในระบบ 147% ด้านกรุงไทยแรงไม่ตกหลังแบงก์ชาติสั่งสำรองเข้ม โชว์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นล้านหรือเติบโต 77% ระบุระบบแบงก์มีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง ชี้เกณฑ์สำรองเข้มของแบงก์ชาติไม่กระทบผลกำไร-ขาดทุนของแบงก์ทั้งระบบ เพราะมีสำรองส่วนเกินเฉลี่ยทั้งระบบ 70% เกินมาตรฐานสากลที่สำรองเพียง 50% มั่นใจทีพีไอโอนกลับเป็นหนี้ปกติได้ทันในงบสิ้นปีแน่
ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบงวด 9 เดือนปี 2547 ปรากฏว่า ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบสามารถมีผลประกอบการที่เป็นกำไรสุทธิประมาณ 64,248 ล้านบาท เทียบกับกำไรในงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลประกอบการประมาณ 20,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 35,157 ล้านบาท โดย ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด มีผลประกอบการที่เป็นกำไรเติบโตสูงที่สุดในระบบประมาณ 147% มีกำไรเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน รองลงมา เป็นธนาคารกรุงไทย ที่มีผลกำไรประมาณ 10,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 4,582 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 77%
สำหรับธนาคารเอเชียนั้น มีกำไรลดลงมากถึง 1,065 ล้านบาทหรือลดลง 73% เทียบจากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการตั้งสำรอง เพิ่มขึ้น สำหรับธนาคารทหารไทยนั้น ถือว่ามีกำไรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการในงวดไตรมาส 3 เป็นผลการดำเนินงานรวมของธนาคารดีบีเอสไทยทนุกับบรรษัทอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที)
นางอังคณา สวัสดิ์พูน ผู้ช่วย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์เริ่มมีกำไรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่งวดสิ้นปีที่ผ่านมา และในช่วง 9 เดือนนี้ระบบธนาคาร พาณิชย์มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยประมาณ 38% ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่สูง เนื่องจาก 1.การขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยของทั้งระบบสินเชื่อขยายตัวประมาณ 7-8% นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพทั้งสิ้น
ปัจจัยที่ 2.คือ ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในงวดไตรมาสที่ 4 ของ ปี2547 นี้ เชื่อว่ากรณีของบริษัทปิโต เคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ ซึ่งเป็นเอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ น่าจะมีข้อยุติ และมั่นใจว่าในเดือนธันวาคมนี้จะกลับขึ้นเป็นหนี้จัดชั้นปกติ ส่งผลให้เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบลดลงอีกมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเข้ามาตรวจสอบการจัดชั้นลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งขณะนี้เชื่อว่าธปท.ได้เข้าไปตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ครบทุกแห่งแล้ว คาดว่าจะได้ผลสรุปภายในต้นเดือนธันวาคม ซึ่งจะเข้ามาในงบผลประกอบการไตรมาสที่ 4 อาจจะมีการจัดชั้นเพิ่มเติมของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง คาดว่าจะไม่กระทบกับผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์แน่นอน
สาเหตุที่ไม่กระทบผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์นั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์ธปท. กำหนดอยู่แล้วเฉลี่ยมีการตั้งสำรอง ต่อเอ็นพีแอลประมาณ 70% ซึ่งถือ ว่าอยู่ในระดับที่เข้มปลอดภัย ตามปกติมาตรฐานสากลจะมีสำรองส่วน เกินประมาณ 50% เท่านั้น นอกจาก นี้ยังมีเหตุผลจากหนี้ทีพีไอ ที่จะย้อนกลับเข้ามาเป็นหนี้จัดชั้นปกติ ทำให้การเพิ่มสำรองเข้มของธปท. ไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการ กำไรหรือขาดทุนของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ
ส่วนผลประกอบการของธนาคารนครหลวงไทยงวด 9 เดือน ที่เติบโตสูงที่สุดนั้น เป็นผลมาจากการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 24% หรือประมาณ 36,000 ล้านบาท อาจจะสูงกว่าระบบเนื่องจากธนาคารมีฐานสินเชื่อในปีที่ผ่านมาต่ำมาก หรือเทียบจากธนาคารมียอด สินเชื่อคงค้างจากปี 2546 ประมาณ 152,000 ล้านบาท และในเดือนกันยายน 2547 มีสินเชื่อคงค้างประมาณ 188,000 ล้านบาท นอก จากนี้ยังมีต้นทุนของเงินฝากที่ลดลงเหลือเพียง 1.28% และมีรายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เป็น 2.3% ซึ่งหักรายได้พิเศษออกแล้ว
ส่วนเอ็นพีแอลของธนาคารมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เดือนกันยายนมีเอ็นพีแอลเหลือประมาณ 8,349 ล้านบาทหรือ 2.67% โดยเป็น ส่วนของทีพีไอประมาณ 650 ล้านบาท หากสามารถปรับเป็นหนี้จัดชั้น ปกติแล้วเอ็นพีแอลของธนาคารจะลดลงเหลือประมาณ 1% ทันที ดังนั้นคาดว่าผลประกอบการในช่วงต่อไปจะมีกำไรและมีอัตราการเติบโตที่สูงต่อเนื่องแน่นอน
|