ไอซีทีเดินหน้าเตรียมประมูลสมาร์ทการ์ด 26 ล้านใบ คาดขายทีโออาร์ในเดือน พ.ย.หรือต้นธ.ค. พร้อมการประกวด ราคาเครื่องอ่านบัตร ด้านสมาร์ทการ์ด 12 ล้านใบแรกเซ็นสัญญาและเตรียมส่งมอบล็อตแรกสิ้นเดือนพ.ย.นี้
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า การประมูล สมาร์ทการ์ด จำนวน 26 ล้านใบ ราคากลางใบละ 100 บาท คาดว่าภายในเดือนพ.ย.หรือต้นเดือน ธ.ค.จะประกาศขายทีโออาร์ได้ โดยปรับปรุงเงื่อนไขเทคนิคจากเดิมเล็กน้อย
นอกจากนี้ ไอซีทีกำลังดำเนินการในเรื่องเครื่องอ่านบัตรซึ่งเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา ไอซีทีได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูล 11 รายที่เข้ามาเสนอแนะแก้ไข ในทางด้านเทคนิคของทีโออาร์ที่ร่างขึ้นมา เพื่อเป็นการลดปัญหาในการประมูล รวมถึงการกำหนดคุณลักษณะการใช้งานให้ตรงกับบัตรมากที่สุด อาทิ จำนวนครั้งความผิดพลาด เทคโนโลยีการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การเปิดโอกาสครั้งนี้ ทางเอกชนเข้าใจผิด โดยเข้ามาแต่รับฟัง ไม่ได้มีการเสนอแนะ จึงทำให้ทางคณะกรรมการ ต้องส่งเอกสารไปให้เอกชนกลับไปพิจารณาและตอบกลับมาเพื่อ ที่จะนำข้อมูลดังกล่าวมาแก้ไขปรับปรุง และเร่งข้อสรุปทีโออาร์ ให้เสร็จภายในเดือนพ.ย.นี้ โดยไอซีทีจะดำเนินการจัดซื้อล็อตแรก 16,000 เครื่อง จากความต้องการ 36,000 เครื่อง โดยมีราคาเฉลี่ย 5,000 บาทต่อเครื่อง
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างเหมาจัดทำบัตรประชาชนอเนกประสงค์ (สมาร์ทการ์ด) จำนวน 12 ล้านใบ ระหว่างนายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวไอซีที กับนายธนพล เจิมประไพ กรรมการผู้จัดการบ. กิจการร่วมค้าซี เอส ที
นายธนพล เจิมประไพ กรรมการผู้จัดการกิจการร่วมค้า ซีเอสที กล่าวว่า ราคาที่กลุ่มกิจการร่วมค้าประมูลได้ใบละ 74 บาทถือว่าถูกที่สุดในโลก ซึ่งบัตรดังกล่าวมีการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานของโลก และสาเหตุที่ราคาบัตรได้ราคาถูกกว่ารายอื่นๆ นั้นเนื่องจาก บริษัท เอสที ที่มาร่วม ทุนครั้งนี้นั้นเป็นเจ้าของเทคโนโลยี และผู้ผลิตในทุกขั้นตอนรายเดียวสามารถควบคุมต้นทุนได้
สำหรับการประมูลครั้งต่อไป ซีเอสทีก็จะเข้าร่วมประมูลอีกแต่ในเรื่องราคาของบัตรนั้นอาจจะไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าที่ได้ในครั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันราคาน้ำมันตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาต้นทุนของพลาสติกสูงขึ้น รวมทั้งการที่เงินบาทอ่อนตัวลง และการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เทคโนโลยีชิป อย่างไรก็ตาม ในการ ประมูลครั้งหน้า ทางกลุ่มจะขอทำการเจรจากับต่างประเทศอีกครั้ง เนื่องจากเป็นการประมูลบัตรที่ถือได้ว่ามีจำนวนที่มากถึง 26 ล้านใบ
นายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า บัตรที่ จะส่งมอบ 12 ล้านใบ จะเป็นบัตรเปล่าที่มีการป้องกันการพิมพ์ปลอมแปลง พร้อมฝังชิปข้อมูลพร้อมระบบปฏิบัติการ ซึ่งการส่งมอบบัตรทางกิจการร่วมค้าซีเอสที จะดำเนินการส่งมอบ 4 งวด โดยงวดที่ 1 จะส่งมอบ 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 จำนวน 5 แสนใบ ภายใน 30 พฤศจิกายน 2547 ครั้งที่ 2 จำนวน 1 ล้านใบ ภายใน 31 ธันวาคม 2547 และครั้ง ที่ 3 จำนวน 1.5 ล้านใบ ภายใน 31 มกราคม 2548 ซึ่งเมื่อส่งมอบเสร็จจะจ่ายเงินค่าจ้าง 25% หรือ 222,000,000 บาท สำหรับงวดที่สอง จะส่งมอบ 3 ล้านใบภายใน 28 กุมภาพันธ์
งวดที่ 3 จำนวน 3 ล้านใบ ภายใน 31 มีนาคม 2548 งวดที่ 4 อีก 3 ล้านใบ ส่งในวันที่ 30 เมษายน 2548 และในทุกๆ งวด ทางกรรมการจะดำเนินการทดสอบ และตรวจรับ แล้วจ่ายเงินในจำนวน 222,000,000 บาท หากทางซีเอสที ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน จะต้องชำระค่าปรับเป็นรายวัน ในอัตราร้อยละ 0.10% ของราคาบัตรที่ยังไม่ได้ส่งมอบ
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีกล่าวว่า หลังได้รับมอบบัตรงวดแรกสิ้นเดือนพ.ย. ก็จะทำการส่งมอบให้กระทรวงมหาดไทยซึ่งจะใช้เวลาราว 1 เดือนในกระบวนการ ทำให้บัตรมีความเป็นเฉพาะส่วนบุคคล (Personalization)
"วันทำงานแรกของเดือนม.ค. 48 บัตรสมาร์ทการ์ดใบแรกที่ไม่อยู่ในโครงการนำร่อง 1 หมื่นใบแรกก็จะถึงมือประชาชน"
|