"ทีพีไอโพลีน" กำไรสุทธิไตรมาส 3 วูบกว่า 2.2 พันล้านบาท "ประชัย" อ้างขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ผสมโรงกับราคาขายปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย และต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกที่ถีบตัวสูงขึ้น โบรกเกอร์ระบุต้นทุนที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย ในการดำเนินคดีทางศาล เพื่อเจรจาปรับหนี้ที่ยังคงยืดเยื้อ
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) เปิดเผยว่า ผลการดำเนิน งานในไตรมาส 3 ปี 2547 บริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 514 ล้านบาท ลดลง 50.67% จากจำนวน 1,042 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของ ปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิจำนวน 141 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียว กันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 2,359 ล้านบาท ลดลงกว่า 2,218 ล้านบาท หรือคิดเป็น 94.02% โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งระดับราคาขายปูนซีเมนต์ที่ลดลงเล็กน้อยและต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกที่สูงขึ้น
ส่วนกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ของปีนี้อยู่ที่ 0.18 บาทต่อหุ้น ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4.84 บาทต่อหุ้น
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี2547 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไร สุทธิจำนวน 2,968 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 3.88 บาท ลดลง 22.28% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 3,819 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 7.80 บาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยบริษัทฯมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและรายการตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 4,726 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2547 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 8.69% จากจำนวน 4,348 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายปูนซีเมนต์คอนกรีตผสมเสร็จและเม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้นตามความต้องการในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 43.63 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยากล่าวว่า กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3 ที่ลดลงกว่า 27% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน แต่ถ้าคิดเป็นกำไรสุทธิแล้วจะลดลงประมาณ 71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เกิดจากกำไรการดำเนินงานปกติที่ลดลง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 383 ล้านบาท จากที่ TPIPL มีหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ 70%
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้ TPIPL มีกำไรจาก การดำเนินงานลดลง เกิดจากกำไรขั้นต้นที่ลดลงจาก 34.7% มาเป็น 31.1% ในไตรมาส 3 ซึ่งคาดว่าเกิดจากค่าใช้จ่ายพลังงานที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจ LDPE สัดส่วนรายได้ 27% ของรายได้รวมโดยคาดว่ายังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากราคา Ethylene ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่าราคาผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น คาดว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย ในการดำเนินการทางศาลเพื่อการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังคงยืดเยื้อต่อไป
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า แม้ผลประกอบการของ TPIPLจะปรับตัวลดลงมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสูงถึง 2,358 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และระดับราคาขายปูนซีเมนต์ที่ลดลง แต่ก็ยังเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากระดับราคาปูนซีเมนต์ดีขึ้น รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น
"แม้ว่าไตรมาส 3 ผลประกอบการของบริษัทจะลดลงอย่างมาก แต่เชื่อว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4 รวมถึงผลการดำเนินงานทั้งปี จะออกมาสดใส เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคขยายตัว ในขณะที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบลดลง โดยเฉพาะราคาปูนซีเมนต์ ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าทั้งปี TPIPL จะสามารถทำกำไรได้อยู่ที่ 4,070 ล้านบาท" ส่วนราคาที่แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น TPIPL ได้ โดยประเมินราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 50 บาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน ได้ออกบทวิเคราะห์ โดยระบุว่า เตรียมปรับประมาณการรายได้ของTPIPL ใหม่ ภายหลังจากที่ได้เข้าพบผู้บริหารจากเดิมที่ตั้งราคาเป้าหมายที่ 41-44 บาทต่อหุ้น เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 3 ลดลงค่อนข้างมาก
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น TPIPL เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา เปิดตลาดเช้าที่ 27.75 บาท หลังจากตลาดรับรู้ข่าวผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงต่อเนื่อง โดยปรับตัวต่ำสุดที่ 26.25 บาท ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ปิดตลาดที่ 26.75 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือลดลงกว่า 5.31% มูลค่าการซื้อขาย 176.46 ล้านบาท
|