|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ค้าเหล็กไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ กระจาย 85 ล้านหุ้นหวังนำเงินที่ได้ไปขยายโรงงานที่อำเภอวังน้อย ซึ่งจะใช้เงินทั้งสิ้น 310 ล้านบาทและอีกส่วนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชี้จะช่วยทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1.9 แสนตันต่อปี พร้อมล่อใจนักลงทุนที่จองซื้อได้รับเงินปันผลของ ปี 2547
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่าเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมสำนักงานได้เริ่มนับหนึ่งแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) หุ้นบริษัทค้าเหล็กไทยที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และได้แต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ บริษัท ค้าเหล็กไทย ดำเนินธุรกิจด้านศูนย์บริการเหล็กครบวงจร จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 85 ล้านหุ้นคิดเป็น 20% ของทุนที่เรียกชำระแล้วภายหลัง การเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทโดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้สำหรับการขยายโรงงานที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนคร- ศรีอยุธยาและเพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2545, 2546 และครึ่งปีแรกของปี 2547 มีรายได้ รวม 2.39 พันล้านบาท, 4.19 พันล้านบาทและ 2.77 พันล้านบาท ตามลำดับ ในส่วนของกำไรสุทธิ จำนวน 49.98 ล้านบาท, 115.60 ล้านบาท และ 148.07 ล้านบาท
ส่วนโครงการในอนาคตนั้น บริษัทมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยวางแผนที่จะสร้างโครงการสองของโรงงานที่อำเภอวังน้อย จะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนเมษายน 2548 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนพฤษภาคม 2549 เป็นวงเงินโดยประมาณ 310 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตของศูนย์บริการเหล็กเพิ่มขึ้นอีก 1.9 แสนตันต่อปี
โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นจะประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวธนสารสมบัติ ถือหุ้น 88.50% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำ กว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นสามัญผ่านการเสนอขายกับประชาชนในครั้งนี้จะมีสิทธิในการรับเงินปันผลที่จ่ายจากผลประกอบการในปี 2547 ทั้งปี
|
|
|
|
|