|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อีสท์ วอเตอร์ตั้งเป้าปีหน้าโตอีก 15% หลังประเมินยอดขายน้ำดิบในภาคตะวันออกขยายตัวต่อเนื่อง โดยทุ่มเงินลงทุนอีก 1,400 ล้านบาท วางท่อน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ เชื่อมท่อปัจจุบัน รองรับดีมานด์ใช้น้ำในธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นในมาบตาพุด และรุกธุรกิจน้ำประปา เผยผลดำเนินงานงวด 1 ปี (30 ก.ย.47) คาดว่ามีกำไร 410 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 20% เนื่องจากรับรู้กำไรจากบริษัทย่อยและเงินลงทุนระยะสั้น
นายวันชัย หล่อวัฒนตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า ในปี 2548 บริษัทประมาณการตัวเลขการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้นอีก 15% จากปีนี้ที่มียอดการใช้น้ำดิบอยู่ที่ 170 ล้านลบ.ม./ปี ทำให้รายได้และกำไรเติบโตขึ้นอีก 15% เช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทฯมีนโยบายที่จะรักษาการเติบโตของกำไรในแต่ละปีไม่ให้ต่ำกว่า 10%
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2548 บริษัทฯ คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนในธุรกิจน้ำดิบ โดยจะดำเนินการวางท่อเพื่อรับน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์มาเชื่อมกับท่อน้ำ ปัจจุบัน ความยาวประมาณ 40 กม. มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของอุต- สาหกรรมปิโตรเคมีที่ได้มีการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง โดยคาดว่าจะออกแบบเสร็จกลางปี 2548 หลังจากนั้นจะเริ่มการวางท่อ และแล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า
"เราประเมินว่าน้ำที่ได้รับการจัดสรรจากกรมชลประทานจะไม่เพียงพอในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น จึงวางแผนที่จะขอใช้น้ำจากกรมชลฯ ในอ่างเก็บน้ำประแสร์มาเชื่อมกับท่อปัจจุบัน ซึ่งห่างกันอยู่ 40 กม. โดยเราทำหนังสือขอจัดสรรน้ำดิบประมาณ 85 ล้านลบ.ม./ปี ซึ่งจะรองรับการใช้น้ำในนิคมฯมาบตาพุดได้อีก 5-10 ปีข้างหน้า"นายวันชัย กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯจะลงทุนในธุรกิจน้ำประปาของบริษัทย่อย คือ บริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU) หลังจากปีนี้บริษัทย่อย ได้รับสัมปทานโครงการก่อสร้างผลิต น้ำประปา 4 แห่ง คือ สัมปทานทำน้ำประปาที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และเกาะล้าน จ.ตราด รวมทั้งสัญญา ขยายระบบน้ำประปาที่สัตหีบ เพื่อจ่ายน้ำให้กับพื้นที่ในเขตพัทยาใต้ และที่อ.ศรีราชา ชลบุรี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400-500ล้านบาท
โดยปีหน้า บริษัทฯจะยื่นขอสัมปทานการผลิตน้ำประปาที่เกาะ พีพี เกาะช้าง และเกาะเต่า เป็นต้น รวมทั้งเข้าไปประมูลสัมปทานผลิตน้ำประปาในบางพื้นที่ที่การประปาส่วนภูมิภาคเปิด เช่น ปทุมธานี เป็นต้น
ด้านแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการ ดำเนินธุรกิจนั้น มาจากการเสนอขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 20 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาทให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น คือ เสนอขาย หุ้น 5 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญ ใหม่ในปลายเดือนตุลาคมนี้ รวมทั้งบริษัทจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชน ทั่วไปอีก 7.5 ล้านหุ้น ประมาณเดือน พฤศจิกายนนี้ด้วย
นายวันชัย กล่าวต่อไปว่า จากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 เห็นชอบ ในหลักการปรับโครงสร้างธุรกิจบริษัทในเครือ โดยการควบรวม บริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ (UU) กับ บริษัท ธรรศธารา (TAT) ซึ่ง UU ถือหุ้นใน TAT 100% โดย UU และ TAT ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้นร่วม กันในบริษัทประปาในเครือ ได้แก่ บริษัท ประปาฉะเชิงเทรา จำกัด บริษัท ประปาบางปะกง จำกัด และบริษัท ประปานครสวรรค์ จำกัด เป็นสัดส่วน 99%, 99% และ 100% ตามลำดับ
สำหรับการควบกิจการในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยลดขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจประปา ตลอดจนช่วยให้ ผู้ลงทุนเข้าใจ และสามารถวิเคราะห์ผลการดำเนินการในกลุ่มธุรกิจประปา ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯได้มีการโอนทรัพย์สิน หนี้สินของ TAT ไปยัง UU และได้จดทะเบียนเลิกกิจการ และชำระบัญชี TAT กับกระทรวงพาณิชย์แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547 โดย UU ได้บันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัท TAT ตามวิธีส่วนได้ ส่วนเสีย
ดังนั้น การควบรวมกิจการของ TAT กับ UU จึงไม่มีผลกระทบ ต่อทรัพย์สินและหนี้สินรวมสุทธิของ UU ในภาพรวมแต่อย่างใด รวมถึง TAT และ UU จะได้รับการยกเว้น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ที่เกี่ยวข้องตามเงื่อนไขของกฎหมายการควบรวมหรือโอนกิจการ
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 1 ปี สิ้นสุด 30 ก.ย.2547 ว่า บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรประมาณ 410 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้วซึ่งมีกำไร 352 ล้านบาท เนื่อง จากยอดการใช้น้ำดิบอยู่ในระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้ และมีกำไรจากการนำ เงินสดไปลงทุนระยะสั้น
|
|
|
|
|