วันที่ 7 พฤศจิกายน 2529 เป็นวันที่สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ต้องจดจำไปอีกนาน!
ซึ่งมันแตกต่างจากเหตุการณ์เมื่อปี 2528 ที่เขาสละตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย
เนื่อจากปัญหาสุขภาพ จนได้รับการยกย่องสรรเสริญทั่วกัน
ชีวิตทางการเมืองของเขา ไม่มีครั้งไหนดูหนักหน่วงเท่าครั้งนี้ แรงกดดันรอบข้างในเวลาที่ยืดเยื้อพอสมควร
ค่ำวันนั้นจึงเป็นวันที่เขาจะต้องระบายความกดดัน...
ณ บ้านซอยศาลาแดง อันมีรั้วสูงเกินที่ใครจะเห็น ภายในนั้นได้ถูกจัดเป็นที่สังสรรค์อย่างง่ายๆ
เขาหวังว่าบรรดานักข่าวคงจะให้ความสำคัญ
โต๊ะอาหารรายล้อมสระน้ำ อาหารจากร้านบัว พัฒนาการ ถูกสั่งมาเตรียมไว้ในจำนวนที่มากพอ
แขก--นักข่าวเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่เวลา 6 โมงครึ่ง ส่วนมากเป็นนักข่าวประจำกระทรวงพาณิชย์
สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ในชุดกางเกงสีขาว เสื้อลายอมเทา รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดีราคาแพงสีขาว
เสื้อปล่อยชายทำตัวทำตัวสบายๆ แต่แววตายังกังวลออกมาให้เห็นบ้างเป็นบางครั้ง
ขณะที่แขกกำลังเสวนาพร้อมรับประทานอาหารที่โต๊ะริมสระน้ำติดตัวบ้านใหญ่
และปล่อยโต๊ะอีกหลายตัวว่างเปล่า เขาไม่ทานอาหาร ไม่ยอมเสวนาปัญหาการเมือง
เขาอยู่กับเจ้าปุย สุนัขพันธุ์เทศสีขาว เขาปล่อยให้เวลาผ่านไป เพื่อรอเวลาแขกรับประทานอาหารจนอิ่มหนำ
ออกจะผผิดหวังอยู่ที่โต๊ะอาหารเตรียมไว้รายล้อมสระน้ำหน้าบ้านใหญ่บนเนื้อที่
3 ไร่ครึ่ง ปรากกว่ามีผู้ร่วมงานไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
นักข่าวยังคงทยอยมาเป็นระยะๆ ทีละคนสองคน ความเงียบเหงา ซึมๆ ยังปกคลุมอยู่จางๆ
เวลาประมาณทุ่มครึ่ง แขกกลุ่มแรกทานอาหารอิ่มกันแล้ว เสียงเสวนาดังขึ้นเป็นสัญญาน
แม้จำนวนจะดูน้อย แต่ก็ดีไปอย่าง สุรัตน์ชักชวนนักข่าวกลุ่มใหญ่ขึ้นบ้านใหญ่
พร้อมๆ กับเขาหอบหมอนจำนวนมาก เตรียมไว้ให้แขกนั่ง เพราะห้องรับแขกค่อนข้างแคบ
คนจำนวนเกิน 20 คนคงไม่พอจะนั่งในที่นั่งปกติของห้องรับแขก
และห้องรับแขก ก็ถูกดัดแปลงเป็นห้องฟังเพลง ทุกคนนั่งอิงหมอนบนพื้นอย่างสบายๆ
มุมหนึ่งของห้องมีเปียโน ปัญญ์ชลี เพ็ญชาติ ภรรยาสาวสวยของ ร.อ.เศรณี เพ็ญชาติ
ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ ธนาคารสหธนาคาร นั่งประจำอยู่ตรงนั้น เธอเป็นลูกสาวสปัน
เธียรประสิทธิ์ น้องสาวปองทิพย์--ภรรยาผู้จากไปของสุรัตน์นั่นเอง
สุรัตน์ เริ่มครวญเพลงในทันที เริ่มจากพรานทะเล My Way แสนแสบ... และอีกหลายเพลงในเพลงเย็น
เสียงของเขาดูวังเวงชอบกล สีหน้าและแววตาของเขากลมกลืนกับเพลงเสียนี่กระไร!
พวกเขาดุจนักร้องอาชีพทั้งครอบครัวทีเดียว
เวลาแห่งความผ่อนคลายค่อยๆ คืบคลานไป จากสุรัตน์โชว์เพลงเดียวสลับกับปัญญ์ชลีมาพักหนึ่ง
ลูกชาย 2 คนของเขา--เพชรและรัตน์ ก็เข้าร่วมวงประสานเสียงเป็นคอรัส ว่ากันว่าภรรยาของสุรัตน์ที่ชื่อปองทิพย์
เธอมีความสามารถพิเศษในการร้องเพลง และเรียนจบปริญญาตรีด้านดนตรีมาด้วย
2 ทุ่มครึ่ง เวลาเพลงที่บ้านสุรัตน์ ค่ำของวันอันหนักอึ้งของเขาก็จบลง
เขาไม่ยอมพูดการเมืองอยู่เช่นไรตั้งแต่เริ่มงานก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา สุรัตน์พาบรรดานักข่าวขึ้นชั้น
2 ของตัวบ้านชมภาพ และ "ของเก่า" คู่ตระกูลโอสถานุเคราะห์
ห้องนั้นเป็นห้องสะสมโบราณวัตถุที่มีจำนวนมาก ห้องหนึ่งจะเรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมๆ
ก็คงไม่ผิด ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปทั้งไทยและจีน อันส่อแสดงถึงกำพืดของตระกูลเขาที่ผสมผสานระหว่างความเป็นคนจีนและไทย
"สมบัตินี้เป็นของส่วนกลาง ไม่ใช่ของผม เราจดชื่อไว้ทุกชิ้น ยังไม่ได้ปรึกษาในพี่น้องว่าจะแบ่งกันอย่างไร"
สุรัตน์ ตอบคำถาม "ผู้จัดการ"
เมื่อมีคนถามถึงประวัติเขา ก็เริ่มเล่าพร้อมๆ กับเดินลงมายังห้องโถงชั้นล่าง
สุรัตน์เล่าว่าบ้านหลังนี้เป็นของพ่อ--สวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ตกทอดถึงทายาทคนหนึ่งคนใด
และเนื่องจากพี่ชายคนโตของเขาเสียชีวิต เขาจึงเป็นคนดูแลบ้านโดยตรง โดยอาศัยอยู่บ้านเล็ก
ตรงกันข้ามสระน้ำกับบ้านใหญ่ โดยที่บ้านที่เขาอาศัยอยู่จริงๆ อยู่บนถนนสุขุมวิท
เขาพานักข่าวมายังห้องโถงอารมณ์และความคิดของเขากำลังจมลึกสู่อดีต เมื่อเขาพูดถึงพ่อของเขา
นอกจากคำบอกเล่าแสดงความภูมิใจและยังแสดงที่แววตาด้วย เขาเริ่มเล่าประวัติความเป็นมาของบ้านหลังนี้
บ้านของเราตั้งอยู่บนเนื้อที่ 3 ไร่ครึ่ง แต่เดิมสวัสดิ์ โอสถานุเคราะห์
ซื้อไว้เพียง 400 ตารางวา ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าของบ้านหลังใหญ่ซึ่งติดกับบ้านสวัสดิ์
กลัวภัยสงครามจึงตัดสินใจจะขาย สวัสดิ์เห็นว่าเป็นพื้นที่ติดกัน ขณะนั้นเขาเพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจร้านเต็กเฮงหยูได้ไม่นาน
สุรัตน์เล่าว่า ของเขาต้องไปกู้เงินมาซื้อ ในราคาประมาณ 1 หมื่นบาท ซึ่งในสมัยนั้นก็นับว่าแพงพอดู
เขาเล่าว่าบริเวณถนนซอยศาลาแดงก็คือบริเวณที่เขาวิ่งเล่นในวัยเด็กนั่นเอง
เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว สุรัตน์เดินออกมากับกลุ่มนักข่าวประมาณ 20 คนเศษ
ออกมาส่งถึงประตูหน้าบ้าน เสียงและแววตาดูสดชื่นขึ้นบ้าง
เมื่อแขกกลับไปแล้ว เขาคงต้องจมอยู่กับเหตุการณ์ประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ในระหว่างแรงกดดันทางการเมืองนับสัปดาห์นั้น สุรัตน์ทนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เวลาส่วนหนึ่งของเขาก็คือ อ่านหนังสือกำลังภายใน เรื่องล่าสุดเขาอ่าน "ฝ่าความตาย"
บางคนมองว่าเขาทำความผิดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตทางการเมือง เพราะอนุมัตินำเข้าไม้พม่า
อย่างมิชอบมาพากล แต่เขาเองมีคำตอบกับตัวเองเสมอว่า มันเป็นวิถีทางการเมืองประเภททีใครก็ทีมัน
อีกบางมุมมีการอธิบายว่า เขากระทำไม่บังควรในห้องทำงานของเสนาบดีกระทรวงคนแรก
โดยเขาแบ่งห้องทำเป็นห้องรัฐมนตรีช่วยคนหนึ่ง มันจึงอาถรรพ์... ว่าเข้าไปนั่น
เมื่อหลายปีผ่านมา ทวี ไกรคุปต์ อดีต รมช.พาณิชย์ก็เซ็นใบอนุญาตบริษัทประกันภัยในห้องนี้
ในที่สุดก็ต้องเด้งจากตำแหน่ง
ก็ไม่ทราบว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่เข้าไปแทนจะเตรียมหาทางแก้เคล็ดไว้หรือไม่!