Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2530
พ่อค้ากับพัฒนาการระบบทุนนิยมในภาคเหนือ พ.ศ.2464-2523             
 


   
www resources

โฮมเพจ จังหวัดเชียงใหม่

   
search resources

Investment
Chiangmai




หนังสือเรื่อง "พ่อค้ากับพัฒนาการระบบทุนนิยมในภาคเหนือ พ.ศ.2464-2523" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2530 จำนวนเพียง 1,000 เล่ม ขณะนี้ก็พอหาอ่านได้จากแผงหนังสือใหญ่ๆ โดยเนื้อหาสาระเกือบทั้งหมดมาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาโท เสนอต่อจุฬาฯ มีเพียงเปลี่ยนแปลงชื่อและตัดต่อถ้อยคำบางส่วนเพื่อป้องกันปัญหาลิขสิทธิ์ ซึ่งวิตกกังวลว่าอาจจะโดนฟ้องร้องจากบัณฑิตวิทยาลัย ซึ่งหลายคนมองในทำนองกลัวกันไปเองก็ตาม

ปลายอ้อ ชมะนนท์ คือผู้เขียนหนังสือเล่มนี้

ปลายอ้อ เป็นนักเรียนปริญญาโทรุ่นเดียวกับ พรรณี บัวเล็ก ผู้เขียน "วิเคราะห์นายทุนธนาคารพาณิชย์ไทย พ.ศ.2475-2516" ซึ่งพิมพ์จำหน่ายก่อนงานของปลายอ้อแล้วประมาณ 7 เดือน และก็ฮือฮากันพอประมาณ เธอทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นสานุศิษย์ "ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา" ผู้คร่ำหวอดประวัติศาสตร์ธุรกิจในแวดวงวิชาการคนหนึ่ง และดูเหมือนทั้งสองผลิตผลงานอันภาคภูมิใจของสำนักฉัตรทิพย์ในช่วงนี้ด้วย

ปลายอ้อต่างจากพรรณีหลายประการ ซึ่งดูจะเป็นข้อได้เปรียบในการเข้าใจปรากฏการณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ เธอจบเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาตรี (พรรณี จบอักษรศาสตร์) มีช่วงหนึ่งของชีวิตทำงานในหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจ ทั้งเธอเป็นคนเชียงใหม่ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภาคเหนือ และขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้ก็ทำงานในการนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ อันเป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในย่านนั้นด้วย แต่ทว่างานของเธอเป็นการมองภาพรวมซึ่งแตกต่างจากการมองลงลึกกลุ่มนายทุนธนาคารพาณิชย์ 4 กลุ่มของพรรณี ซึ่งงานชิ้นหลังดูจะสอดคล้องพฤติกรรมคนอ่านมากกว่า

สิ่งที่เหมือนกันของเธอทั้งสองนอกจากจะเป็นวิธีศึกษาในโครงสร้างทางทฤษฏีความคิดแล้ว วิธีทำงานในการค้นหาข้อมูลยังคงเหมือนๆ กัน เริ่มตั้งแต่การอ่านหนังสือ-วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง และอ้างหรือเข้าไปอยู่ในส่วนสาระของหนังสือเกิน 50% แล้ว อีกส่วนหนึ่งมาจากหนังสืองานศพ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นคำชมครั้งสุดท้ายของชีวิต (ข้อไม่ดี ไม่มีใครเขียนในหนังสืองานศพหรอก) และงานยากที่สุดของพวกเธออยู่ที่กรมทะเบียนการค้า ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจนั้นๆ ส่วนใหญ่ได้แก่ผู้ถือหุ้น เงินทุนจดทะเบียน สินทรัพย์ยอดขาย อะไรทำนองนี้ ทั้งพรรณีและปลายอ้อ รู้สึกภาคภูมิใจกับความพยายามในงานนี้ค่อนข้างมาก

แหล่งข้อมูลอีกประการหนึ่งก็คือ การบอกเล่าของบุคคล ซึ่งปลายอ้อจะใช้มากกว่าพรรณีอย่างมาก พรรณีเพียงคุยกับคนๆ เดียว (ดูจากบรรณานุกรม) ในขณะที่ปลายอ้อสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ เกือบๆ 30 คน

อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็มีค่าควรเก็บไว้อ้างอิงและอ่านกันพอเป็นแนวในการค้นคว้าต่อไปอยู่ดี

ปลายอ้อเดินเรื่องในแนวที่ชัดเจนถึงความไม่เป็นอิสระของกลุ่มทุนภาคเหนือ เริ่มจากช่วงที่พันธการกับอังกฤษผ่านมาทางพม่า ต่อมาภายหลังรัฐบาลสร้างทางรถไฟไปถึง กลุ่มทุนเหล่านั้นก็ถูกครอบงำจากกลุ่มทุนส่วนกลางตราบเท่าทุกวันนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถหลุดพ้นความเป็นนายทุนนายหน้า หากินจากส่วนต่างของต้นทุนสินค้าที่เปลี่ยนจากขายส่งเป็นขายปลีกได้

แม้ปลายอ้อจะไม่อธิบายอย่างแจ่มชัด แต่ข้อมูลที่เธอหามาประกอบไว้ โดยเฉพาะการยกตัวอย่างกลุ่มทุนใหญ่ 12 กลุ่ม ประกอบธุรกิจอะไรกันบ้าง แนวโน้มที่ผมเห็นจากที่เป็นอยู่ ข้อมูลส่วนนี้สามารถนำมาอธิบายสนับสนุนได้ว่า ประมาณ 10-15 ปีมานี้ ธุรกิจที่ดินเริ่มเติบโตตลอดมา เป็นแนวโน้มที่ตามกระแสทุนส่วนกลางอันมีดีกรีสูงกว่า อันมีปัจจัยพื้นฐานอย่างน้อย 2 ประการ หนึ่ง-กลุ่มทุนทางภาคเหนือที่มีที่ดินของตนเอง ซึ่งซื้อหาในราคาที่ถูกมากๆ เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ สอง-ภาคเหนือนอกจากเป็นเมืองพ่อค้าแล้ว ยังค่อยๆ กลายเป็นเมืองพักผ่อนท่องเที่ยว

ตรงจุดนี้อยากจะกล่าวถึงขนาดของกลุ่มธุรกิจภาคเหนือ ที่ปลายอ้อหามาในภาคผนวกสินทรัพย์ของกลุ่มทุนเหล่านี้เล็กมาก เช่น กลุ่มศักดาทร มีสินทรัพย์ไม่ถึง 200 ล้านบาทนั้นค่อนข้างจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างมาก ดีที่ปลายอ้อไม่ได้ใช้ข้อมูลนี้มาวิเคราะห์ เพราะโดยแท้จริงแล้วสินทรัพย์หลักของกลุ่มทุนภาคเหนือ คือที่ดิน ดังที่กล่าวมาแล้ว และมูลค่าที่ดินอันมีจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้ ซื้อหามาในราคาที่ถูกมากเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว งบการเงินในบริษัทเหล่านี้ ระบุมูลค่าที่ดินในราคาซื้อ (Book Value) ซึ่งย่อมแตกต่างจากราคาตลาดอย่างมาก อีกจุดหนึ่งธุรกิจการค้านั้นใช้ระบบเงินหมุนเงินที่เกิดขึ้นด้วยความถี่มากครั้ง แทนการใช้สินทรัพย์จำนวนมากมาเป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของธุรกิจการค้าวงเงินการค้านับพันล้านบาท แต่ทุนจดทะเบียนบริษัทเพียง 5 ล้านบาท อย่างผู้ส่งออกข้าวในย่านทรงวาดทำกัน

ปลายอ้อสรุปในตอนท้ายหนังสือของเธอ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของเธอในหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนมาหลายปี แต่ผลที่ได้รับแทบไม่สมน้ำสมเนื้อเลย และดูเหมือนเธอจะได้รับอิทธิพลงานเขียนของ Suehiro อย่างมากด้วย (Capital Accumulation and Industrial Development in Thailand, 1985)

งานบุกเบิกศึกษาทุนนิยมท้องถิ่นเล่มนี้ เป็นตัวตั้งสำคัญในการมองภาพที่ชัดเจนระดับหนึ่ง และเป็นแนวในการลงลึก ค้นคว้าในรายละเอียดกันต่อไป "ผู้จัดการ" ฉบับเจาะเชียงใหม่ก็ได้รับอิทธิพลจากหนังสือเล่มนี้ด้วย

ราคา 50 บาท กับความพยายามถึง 3 ปีของปลายอ้อ ผลิตงานที่มหาวิทยาลัยบ้านเราไม่ค่อยจะผลิตกันเท่าใดนัก ผมว่าคุ้ม!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us