|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอ็น.ซี.ฯปรับกลยุทธ์ปี 48 มุ่งบริหารต้นทุนและสภาพคล่องทางการเงิน เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบสนองลูกค้า ควบคู่เร่งสร้างมูลค่าเพิ่มจากกลุ่มลูกค้าเก่ากว่า 9,000 ราย ผนึกสถาบันการเงินจัดแพกเกจ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ระบุหุ้น NCH ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนธุรกิจมีศักยภาพ
กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งสำหรับ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรระดับกลาง ภายใต้แบรนด์โครงการตระกูลบ้าน ฟ้า หลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเข้าเทรดอย่างไม่สวยหรูเท่าไหร่ นัก คือราคารูดลงมาต่ำกว่าราคาจองที่ 20 แต่ในปัจจุบันหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวดีขึ้นจนไต่ระดับมาปิดที่ 24.50 บาทต่อหุ้น (1 ต.ค.) ส่งผลให้บรรดานักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัท เอ็น.ซี.ฯ ทั้งรายเล็กรายใหญ่ได้เฮกันลั่นตลาด และทำให้เป็นที่จับตามองของนักลงทุน
นายสมนึก ตัณฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งฯ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเริ่มมีมูลค่าเพิ่มขึ้นว่า เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานของบริษัทที่มีความมั่นคง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและหันมาให้ความสนใจ ประกอบกับหลังจากที่บริษัทฯ มีการแถลงผลประกอบการ ยิ่งเป็น การตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากขึ้น เพราะยอดขายและรายได้รับรู้ที่ออกมาเป็นไปตามเป้าหมายที่ เอ็น.ซี.ฯ วางไว้
นายสมนึก กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นของ เอ็น.ซี.ฯ เพิ่มมูลค่าขึ้นมานั้น ถือว่าเป็นการกลับเข้าสู่ภาวะปกติของหุ้นเท่านั้น เพราะโดย พื้นฐานของหุ้นแล้ว ราคาจะต้องอยู่ในช่วงเดียวกับราคาที่เข้าเทรดใน ตลาดวันแรกตามที่บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินประเมินมูลค่าหุ้นไว้คือ 20 บาท ดังนั้นการที่มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นเพียงการกลับเข้าสู่ภาวะปกติเท่านั้น ส่วนราคาจะปรับเพิ่มขึ้นไปสูงกว่าราคาประเมินไปเท่าใดนั้น ก็เป็นเพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท ซึ่งการที่ เอ็น.ซี.ฯ สามารถเปิดตัวโครงการต่างๆ ได้ตามแผน ที่เสนอต่อตลาดหลักทรัพย์ และสามารถมียอดรับรู้รายได้ที่ดี ก็เป็น สิ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีแผนการดำเนินงานที่ได้รับความเชื่อมั่นจาก นักลงทุน
ทั้งนี้ หากย้อนไปในช่วงปลาย ปี 2546 ที่ผ่านมา บริษัทถือว่ามีการบริหารงานที่เป็นไปตามแผนที่ประกาศไว้มาโดยมาตลอด นับจากช่วงปลายปีก่อนหน้าที่บริษัทจะเข้าเทรดในตลาด ที่เอ็น.ซี.ฯ ได้เปิดตัวโครงการ 2 โครงการตามที่ประกาศในแผน คือ 1.โครงการบ้านฟ้ารังสิต มูลค่า 220 ล้านบาท จำนวน 170 หน่วย สามารถขายหมดได้ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น ทำให้ขณะนี้ บริษัท มีรายได้รับรู้แล้วจากโครงการ ดังกล่าวกว่า 80% 2.โครงการ บ้านฟ้ากรีนพาร์ค พุทธมณฑล สาย 1 มูลค่า 836 ล้านบาท เปิดขายแล้ว 2 โซน จาก 4 โซน มียอดขาย 50%
นอกจากนี้ การดำเนินการตามแผนที่เสนอต่อตลาดหลัก- ทรัพย์ได้ตามแผนที่เสนอไป คือแผนดำเนินการโครงการใหม่อีก 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการ บ้านฟ้าริมหาดจอมเทียน จำนวน 90 หน่วย มียอดขายแล้ว 40% คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาส ที่ 4 ของปีนี้ 2. โครงการบ้านฟ้ากรีนพาร์ค รอยัล ธนบุรีรมย์ พระราม 2 มูลค่าโครงการ 1,430 บาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 10 หน่วย จากจำนวน 238 หน่วย คาด ว่าจะสามารถปิดโครงการได้ในช่วง 2 ปีนี้และจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2548 นี้
สำหรับโครงการที่ 3. คือโครงการบ้านฟ้าปิยะรมย์ พฤกษวารี ซึ่งถือว่าเป็นโครงการต่อเนื่องโครงการที่ 7 ในทาวน์ชิป ที่เอ็น.ซี.ฯ พัฒนาอยู่ในโซนรังสิต จำนวน 276 หน่วย โดยจะปิดการขายและรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 นี้ ส่วนอีก 1 โครงการจะเปิดตัวใน ช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เอ็น.ซี.ฯก็สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่ชี้แจงกับนักลงทุนไว้ได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะสามารถเปิดโครงการได้มากกว่าแผนที่เสนอ ต่อตลาดหลักทรัพย์ไว้ได้ด้วย โดย คาดว่าในช่วงปลายปีนี้อาจจะเปิดโครงการใหม่อีก 1-2 โครงการ ในพื้นที่ต่อเนื่องโครงการทาวน์ชิป
"ขณะนี้ เอ็น.ซี.ฯ เรามีแลนด์แบงก์ หรือที่ดินสะสมที่รอการพัฒนาต่อเนื่องได้อีก 3,000-4,000 หน่วยในโครงการทาวน์ชิป รังสิตคลอง 6 ซึ่งก่อนหน้านี้มีการพัฒนา ไปแล้ว 2,000 หน่วย ซึ่งที่ดินที่เหลือ จำนวนดังกล่าวนี้น่าจะพัฒนาโครง การต่อเนื่องได้อีกประมาณ 4-5 ปี ทำให้เรามีต้นทุนโครงการที่ต่ำและมีสภาพคล่องในการลงทุนที่ดี และในปัจจุบันราคาที่ดินในแถบรังสิตคลอง 6 มีการปรับราคาขึ้นมาแล้วกว่า 30-43% เทียบกับปี 2546" นายสมนึกกล่าว
จากผลงานที่ผ่านมานับว่าเป็น สิ่งที่สะท้อนให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นจนทำให้มูลค่าหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับการที่บริษัทมีแผนที่จะแตกพาร์หุ้น จากราคาที่ตราไว้ 5 บาท เป็นพาร์ละ 1 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน ด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่ยิ่งทำให้นักลงทุนสนใจมากก็คือ บริษัทมีแผน ที่จะออกหุ้นกู้อีก 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรีไฟแนนซ์หนี้ของบริษัท ซึ่งจะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลดลงได้ประมาณ 2% ในไตรมาสที่ 4 จากที่ปัจจุบัน เอ็น.ซี.ฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 5-6%
นายสมนึกกล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปี 2548 นี้ เรามีการปรับแผนการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่เพื่อให้เหมาะสมและเข้ากับสภาพความต้องการของลูกค้าในตลาดและต้องรับความต้องการได้มากที่สุด โดยเน้นบริหารการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีการจัดแคมเปญ มีการยืดหยุ่นเรื่องการออกแบบ ส่วนการบริหารการขายนั้นจะเน้นการเข้าถึงลูกค้า โดยการบริหารผ่านฐานลูกค้าเก่า ซึ่งจากการที่ เอ็น.ซี.ฯ ทำธุรกิจด้านนี้มาเป็นเวลานานถึง 10-11 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าในมือไม่น้อยกว่า 9,000 ราย
อย่างไรก็ตามในปี 2547 ที่ผ่านมา นับว่าตลาดได้รับผลกระทบ จากปัจจัยลบเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ปัญหาน้ำมัน ปัญหา วัสดุก่อสร้าง รวมถึงปัญหาด้านดอกเบี้ย และสินค้าในตลาดมีจำนวนมาก ทำให้ยอดขายหลายบริษัทลดลง ส่งผลไปถึงผลประกอบการที่ลดลงด้วย ทั้งนี้เมื่อพิจารณาแล้วในปีนี้ไม่ใช่ว่าความต้องการในตลาดมีน้อยแต่ปัญหาซัปพลายที่ออกมามาก การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ผลประกอบการ ของผู้ประกอบการลดลง แต่ไม่ใช่เกิดจากการถดถอยของตลาด เพราะตลาดบางระดับยังมียอดขายที่ดี
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้กลยุทธ์การตลาดในปี 2548 ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย โดยเน้นเรื่องการปรับตัวในการบริหารองค์กรที่รวดเร็วให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเงินต้องมีความฉับไวและช่องทางการระดมทุนที่หลากหลายสะดวก และต้องมีพันธมิตรทาง การเงินที่ดี เน้นการลดต้นทุนทั้งด้านการบริหารและก่อสร้าง อาทิ การบริหารโครงการโดยให้มีรายรับ และรายจ่ายที่เหมาะสม
"ในปี 2548 นี้ปัจจัยในเรื่องของน้ำมัน ดอกเบี้ย จะเข้ามาเป็น ต้นทุนหลักของบ้านสำหรับผู้บริโภค และเชื่อว่าถึงช่วงหนึ่งตลาดจะปรับ ตัวเอง ซึ่งเอ็น.ซี.ฯต้องหาวิธีการสร้างสภาพคล่องทางการเงิน เสนอ เงื่อนไขการเงินที่ดี อาทิเงื่อนไขการ ปล่อยกู้ที่ดี ดอกเบี้ยต่ำ เหมาะสมให้กับลูกค้า รวมถึงหาวิธีการลดต้นทุน โดยใช้เครื่องมีทางการเงิน เช่น การออกหุ้นกู้ ฯลฯ" นายสมนึกกล่าว
ส่วนอสังหาริมทรัพย์ปี 48 นั้นแม้ว่าในปีนี้ตลาดจะชะลอตัวอยู่แต่ก็เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นแล้ว ทำให้เชื่อว่าตลาดในปีหน้าจะยังมีการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในส่วน ของผู้ประกอบการเอง เนื่องจากในปีนี้มีจำนวนนักพัฒนาโครงการรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดค่อนข้างมาก จะเป็นตัวแปรให้ในปีหน้าแต่ละเจ้าจะลงทุนเพิ่มทำให้เกิดการ แข่งขันรุนแรง เพื่อแย่งส่วนแบ่งการ ตลาด ทำให้ต้องมีการใช้กลยุทธ์ใหม่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชัน การรักษาฐานลูกค้าจะมีวิธีการที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งในทุกรายจะต้องมีการจับตาดูและศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่ง เพื่อให้สามารถสร้างกลยุทธ์ที่เข้าถึงลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์มากที่สุด
"พูดง่ายๆ ก็คือปีหน้าผู้ประกอบการทุกรายที่จะทำโครง การใหม่จะต้องมีการศึกษาและวิจัยข้อมูลในตลาดรวมถึงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าของตนเองมากที่สุด รวมถึงจะมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงมากที่สุด" นาย สมนึกกล่าว
แต่เหนืออื่นใดแล้ว คงต้องมาติดตามราคาหุ้น NCH จากนี้ไปจะมีมูลค่าขึ้นแค่ไหน เพราะมีข่าวแว่วๆ มาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ราคาหุ้นของ NCH จะไต่ขึ้นไประดับ 25 บาทต่อหุ้น ที่สำคัญคงไม่เกินปลายปี 2547 จะมีข่าว เซอร์ไพรส์ ของบริษัท แต่เป็นข่าวดีสำหรับการเสริมสร้างจุดแข็ง ให้กับบริษัท เพื่อรองรับกับการแข่ง ขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
|
|
|
|
|