|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศาลฯยกคำร้องขอ ขยายเวลาแผนฟื้นฟูฯทีพีไอโพลีน ออกไปอีก 1 ปี ระบุเป็นการแก้ไขแผนฯต้องเรียกประชุมเจ้าหนี้ โดยได้รับเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 50% ของมูลหนี้ "ทีพีไอโพลีน" มั่นใจดำเนินการประชุมเจ้าหนี้เสร็จทันตุลาคมนี้ โดยจะนัด จพท.ประชุมเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขแผนฯเกี่ยวกับการชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายเป็นเงินสด รวมกับการขยายเวลาแผนฯออกไป 1 ปีเป็น 31 ธ.ค.48
วานนี้ (30 ก.ย.) ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) คดีขอขยายระยะ เวลาการฟื้นฟูกิจการบริษัทออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.47 เป็นวันที่ 31 ธ.ค.48 เนื่องจาก ศาลฯพิจารณาเห็นว่าการขยายระยะเวลาแผนฟื้นฟูฯเป็นการแก้ไขแผนฯ ตามมาตราที่ 90/63 จึงต้องมีขั้นตอนให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์(จพท.) เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหมด เพื่อโหวตลงคะแนนเสียงและยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากผู้บริหารแผนฯไม่ยื่นคำร้องขอขยายเวลาการฟื้นฟูกิจการตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 47 ศาลฯอาจ มีคำสั่งให้ทีพีไอโพลีนพ้นจากการฟื้นฟูกิจการ หรือถ้าบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็อาจมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตราที่ 90/70
นายชวลิต อัตถศาสตร์ ทนายความของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามกฎหมายฟื้นฟู กิจการ กำหนดว่าบริษัทฯที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูสามารถอยู่ในแผนฯ ได้ 5 ปี โดยจะขยายระยะเวลาแผนฯได้ 2 ครั้งๆละ 12 เดือน และหากแผน ฟื้นฟูใกล้บรรลุความสำเร็จ ศาลอาจใช้ดุลพินิจขยายระยะเวลาของแผนฟื้นฟูฯต่อไปได้
เนื่องจากแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอโพลีน ระบุไว้ว่า แผนฟื้นฟูฯมี อายุ 5 ปี และลูกหนี้สามารถยื่นขอขยายแผนฯได้ 3 ครั้งๆละ 12 เดือน ซึ่งผู้บริหารแผนฯได้ปรึกษาหารือกับคณะกรรมการเจ้าหนี้มีความเห็นร่วมกันที่จะให้ยื่นคำร้องต่อศาลฯเพื่อขอขยายระยะเวลาแผนฟื้นฟูกิจการที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.47 ออกไปอีก 1 ปีเป็นวันที่ 31 ธ.ค.48 โดยมองว่าไม่จำเป็นต้องแก้ไขแผนฯ เพราะแผนฟื้นฟูฯได้ระบุให้ขยายแผนฯได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลฯได้พิจารณาเห็นว่าการขยายเวลาของแผนฯเป็นการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ทั้งหมด ทางทีพีไอโพลีนจะหารือกับคณะกรรมการเจ้าหนี้ก่อน หลังจากนั้นจะยื่นหนังสือให้จพท.กำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อโหวตแก้ไขแผนฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในตุลาคมนี้
เนื่องจากขณะนี้ ทีพีไอโพลีนได้มีการร่างรายละเอียดการแก้ไขแผนฯไว้คร่าวๆแล้วเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายเป็นเงินสด จากเดิมที่กำหนดให้มีการแปลงดอกเบี้ยค้างจ่ายเป็นหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งขณะนี้ลูกหนี้มีเงินสดเพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายได้ โดยคณะกรรมการเจ้า หนี้ก็เห็นชอบในการรับเงินสดแทนหุ้นเพิ่มทุน
ดังนั้น รายละเอียดการแก้ไขแผนฯจะเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับการขยายเวลาของแผนฟื้นฟูฯออกไปอีก 1 ปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.48 รวมทั้ง การจดจำนองทรัพย์สินของบริษัทฯเป็นประกันอันดับที่ 2 และ 3 ให้กับเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกัน เป็นต้น
"การที่ศาลยกคำร้องขอขยายเวลาแผนฟื้นฟูฯออกไปอีก 1 ปีนั้น ไม่มีผลกระทบอะไร เพราะเป็นการยื่นคำ ร้องก่อนล่วงหน้า และบริษัทฯเตรียมที่จะให้จพท.นัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อขอแก้ไขแผนฯ โดยจะกำหนดข้อความชัดเจนเกี่ยวกับการชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายเป็นเงินสดแทนการแปลงดอกเบี้ย เป็นทุนอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะแก้ไขแผนฯรวมกันไปเลย"
นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่ศาลฯมีคำสั่งเห็นชอบตามคำ ร้องทีพีไอโพลีนกับคณะกรรมการเจ้าหนี้ที่จะถอนฟ้องคดีความทั้งหมด 7 คดีไปแล้วนั้น ทำให้การเจรจารีไฟแนนซ์ หนี้ทั้งหมด 670-680 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาททำได้ง่ายขึ้น
การรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมดนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพียงแต่บริษัทฯสนใจที่จะรีไฟแนนซ์เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากภาระหนี้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐมีถึง 50% ของมูลหนี้ สกุลยูโร 16-48% สกุลเยน 3-4% และที่เหลือเป็นหนี้สกุลบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเกือบ 5%
ดังนั้นการรีไฟแนนซ์หนี้ดังกล่าว จะต้องมีเงื่อนไขการชำระหนี้ที่ดีกว่าปัจจุบัน โดยบริษัทต้องการรีไฟแนนซ์ ให้เป็นหนี้สกุลบาทเป็นส่วนใหญ่เพื่อลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งจะพิจารณาถึงการออกหุ้นกู้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้เจรจาขอกู้เงิน จากธนาคารกรุงไทย 650 ล้านเหรียญ เพื่อมารีไฟแนนซ์
|
|
|
|
|