แบงก์ใบโพธิ์ประกาศขึ้นดอกเบี้ยบ้านอีกระลอก หลังจากปรับไปแล้วเมื่อส.ค.ที่ผ่านมา ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยคงที่หันมาอ้างอิงลอยตัว อ้างต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นต้องปรับตามแนวโน้มตลาด ชี้อนาคตทั้งระบบจะหันมาใช้รูปแบบนี้หมด มั่นใจลูกค้าไม่หนีเพราะมีทีมสร้างความเข้าใจให้ลูกค้า "คุณหญิงชฎา" ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้ายังไปได้ดีคาดโต 5.5-6.5% ด้านธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องมีดีมานด์เข้ามาทุกระดับ ด้านผู้ประกอบการหวั่นกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค

นางสาวเสาวรส ศิริวรรณ ผู้จัดการบริหารลูกค้าธุรกิจบุคคลกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารได้ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านใหม่ โดยยกเลิกระบบดอกเบี้ยคงที่ 2 และ 3 ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (1 ต.ค.) เป็นต้นไป โดยอัตราดอกเบี้ยที่ปรับใหม่จะอ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ลอยตัวประเภทลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR)

จากการปรับอัตราดอกเบี้ยทำให้ลูกค้ามีทางเลือกเลือก 3 อัตราดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ธนาคารจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกได้ 1 ประเภทคือ คงที่ 1 ปี ที่ 2.5% ต่อปี ดอกเบี้ยอิงลอยตัว 2 ปี คิด MLR-2.25% ดอกเบี้ยอ้างอิงลอยตัว 3 ปี คิด MLR-1% หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ตลอดอายุสัญญา

ทั้งนี้ ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารอยู่ที่ 5.75% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยรูปแบบ ใหม่ของธนาคาร อ้างอิงลอยตัว 2 และ 3 ปีอยู่ที่ 3.5% และ 4.75% ตามลำดับ โดยก่อนหน้านี้ธนาคารเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านไปแล้ว 0.25%

"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารในครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นตามภาวะตลาด เนื่องจากได้ดูแนวโน้มภาวะดอกเบี้ยของประเทศและตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารลดลงเพราะต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย ธนาคารจึงมีความจำเป็นต้องประกาศอัตราดอกเบี้ยแบบให้โดยอ้างอิง MLR โดยจะมีผลบังคับใช้เฉพาะกับลูกค้ารายใหม่เท่านั้น โดยการรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ถือว่าเป็นแนวโน้มของตลาดที่จะเริ่มอ้างอิงกับดอกเบี้ยลอยตัวมากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าลูกค้าของธนาคารจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะธนาคารมีวิธีอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจึงไม่น่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน" นางสาวเสาวรส กล่าว

คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า แนวโน้มการขยายสินเชื่อของธนาคารในปีหน้านั้นทางคณะกรรมการธนาคารยังไม่ได้สรุปผลออกมาอย่างเป็นทางการ แต่โดยส่วนตัวแล้วคาดว่าขยายตัวได้ถึง 10% ซึ่งเป็นสินเชื่อ ส่วนที่ขยายตัวต่อเนื่องจากโครงการที่เกิดขึ้นมาในปีนี้ โดยในปีหน้าเชื่อว่าโครงการขนาดใหญ่จะมีการขยายตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการเริ่มระมัดระวังในการขยายโครงการมากขึ้น

"ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวที่ระดับ 5.5-6.5% และเศรษฐกิจโลกก็ยังขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้เป็นเพราะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลทำให้เกิดการจ้างงานและประชาชนมีรายได้ การส่งออกของไปยังจีนน่าจะเพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจีนจะประกาศชะลออัตราการเติบโตแต่เป็นการชะลอที่ไม่ส่งผลรุนแรงนัก" คุณหญิงชฎากล่าว

ส่วนแนวโน้มของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะบ้านถือเป็นปัจจัยสี่ เป็นสิ่งที่คนต้องการอยู่ตลอดและยังมีความต้องการ เหลืออยู่มากเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ 3 ประการ คือ 1. เป็นความต้องการที่อั้นมาจากช่วงที่ประเทศประสบกับวิกฤตในปี 2540 ธุรกิจอสังหาฯชะลอตัวมาก พอถึงช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาฯถือว่ามีการเติบโตสูงมาก

สาเหตุที่ 2. คือประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และสาเหตุสุดท้าย คืออัตราดอกเบี้ยของประเทศอยู่ในระดับที่ต่ำ มากส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนมีมากขึ้น

หวั่นกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค

แหล่งข่าวบริษัทอสังหาริมรัพย์ กล่าวว่า การที่ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับเปลี่ยนวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะ โดยปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เป็นการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร เนื่องจากธนาคารกลัวเรื่องผลขาดทุน หากต้องคงอัตราดอกเบี้ยคงที่นานเกินไป อีกทั้งทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร

"หากธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบปรับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยอิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัวมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งหมด การขายโครงการจะยากขึ้น ซึ่งถึงจุดหนึ่งสภาพตลาดอสังหาฯจะมีการปรับตัว แต่ขอยืนยันว่าในช่วง 2 ปีตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่น่าห่วง หลังจากนั้นค่อย มาติดตามกันอีกที" แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการ ปรับขึ้นดังกล่าว เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าจะมีการปรับขึ้น เพียงแต่ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าจะดอกเบี้ยจะขึ้นเมื่อไหร่ และจะขึ้นช่วงไหน ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้า ตัดสินใจซื้อหรือชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป เพื่อรอดูความแน่ชัด ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใดและขณะนี้ก็ยังไม่ส่งผลกระทบ