วิธี "เป็นผู้นำ" เจ้านาย ในปี 1994 ชาวรวันดาถูกสังหารล้มตายราวใบไม้ร่วงถึง
800,000 คนในช่วงเวลาเพียง 100 วัน สังเวย ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศของตนเอง
ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในการนำทัพมาอย่างโชกโชน
นายพลจัตวา Romeo A. Dallaire ผู้บัญชาการ กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติชาวแคนาดา
ซึ่งประจำ การอยู่ในประเทศดังกล่าว จึงรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายได้อย่าง ชัดเจน
เขาได้พยายามขอกำลังหนุน และขออนุมัติใช้กำลังทหารเข้าระงับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
จากผู้บังคับบัญชาระดับสูงครั้งแล้ว ครั้งเล่า ผลที่ได้คือความเงียบ ต่อมาสิ่งที่เขาหวาดวิตกก็อุบัติขึ้นจริงๆ
แต่เขาได้แต่ปล่อยให้การเข่นฆ่าสังหารเริ่มต้นขึ้นและดำเนิน ต่อไปโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย
ไม่แม้แต่การปกป้องชีวิตของ ทหารรักษาสันติภาพชาวเบลเยียมสังกัดกองทัพสหประชาชาติของเขาเอง
ทั้งๆ ที่แหล่งข่าวกรองของเขาได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้อย่าง แม่นยำถึงอันตรายที่จะเกิดกับชีวิตของทหารเหล่านั้น
ศาสตราจารย์ Michael Useem ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัย Wharton
เชื่อว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในรวันดาในครั้งนั้น น่าที่จะรุนแรงน้อยลงกว่านั้นมาก
หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าหาก นายพล Dallaire มีความสามารถทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับฟังเหตุผลของเขาได้
แม้ว่า Dallaire จะเป็นแม่ทัพที่เยี่ยมยอด แต่ เขาขาดความสามารถในการ "เป็นผู้นำเจ้านาย"
กล่าวคือ ความสามารถในการโน้มน้าวผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าให้สนับสนุนเขาในยามที่จำเป็น
หนังสือเล่มใหม่ของ Useem คือ Leading Up พยายามที่จะสอนทักษะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเป็นผู้นำ
ที่ไม่แต่จะทำให้คุณสามารถเป็นผู้นำของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็น
"คู่คิด" ของเจ้านายของคุณ ที่เจ้านายจะต้องรับฟังและเคารพ ความคิดเห็นอันมีค่าของคุณด้วย
บทเรียนการเป็นผู้นำจากเรื่องจริง Leading Up เป็นการรวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในแวดวงต่างๆ
ตั้งแต่ ธุรกิจ ศาสนา การเมือง และสถานการณ์วิกฤติต่างๆ ได้แก่ มหันตภัยทางธรรมชาติ
สงคราม และโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งแต่ละเรื่องจะให้บทเรียนเรื่องการเป็นผู้นำต่างๆ
กันไป Useem เก็บรายละเอียดของเรื่องแต่ละเรื่องได้ดีมาก ทำให้ผู้อ่านแน่ใจได้ว่า
เขามิได้ตกหล่นรายละเอียดที่สำคัญใดๆ ไปเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว หลังจากเล่าเรื่องแต่ละเรื่องซึ่งค่อนข้างยาวจบลง
Useem ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการ จะแทรกตัวเข้ามาอธิบายว่า
เรื่องที่เพิ่งเล่าจบไปนั้น ได้ให้บทเรียนเรื่องอะไรเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ
ยอมรับความเสี่ยง เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจเรื่องหนึ่งที่ Useem
นำมาเล่าไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเขานี้ คือเรื่องที่ Charles Schwab ปฏิวัติธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์
ซึ่งเป็นเรื่องที่โด่งดังและคนพูดถึงกันมาก Schwab สามารถน็อกคู่แข่งอย่าง
Merrill Lynch และบริษัทนายหน้ายักษ์ใหญ่อื่นๆ อีก หลายแห่ง จนหน้าคว่ำลงไปคลุกฝุ่นได้
ด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ซึ่งผสมผสานการเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า
เข้ากับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ แต่ประเด็นที่ Useem ต้อง การพูดถึงคือ เบื้องหลังของ
Schwab ยังมีอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่เป็น "ต้นคิด" ในการปฏิวัติวงการค้าหลักทรัพย์อย่างแท้จริง
เขาผู้นั้นคือ David Pottruck ประธานฝ่ายปฏิบัติการ ของ Charles Schwab &
Co. ลูกน้องคนสำคัญของ Schwab นั่นเอง Useem แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Pottruck
ทำอย่างไร จึงสามารถ "นำ" เจ้านายของเขาให้คล้อยตามความคิดของเขาได้ Pottruck
เริ่มต้นด้วยการทำให้เจ้านายของเขาเชื่อว่า มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับการเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจใหม่หมด
แม้ว่าความเสี่ยงที่มีต่ออนาคตของบริษัทจะมีอยู่สูง แต่ Pottruck ก็สามารถยกเหตุผลต่างๆ
มาสนับสนุนความคิดของเขาได้อย่างหนักแน่น Useem อธิบายว่า บทเรียนที่ได้จากเรื่องราว
ของ Pottruck ไม่เพียงแสดงให้เห็นวิธีการนำเสนอความคิดใหม่ๆ ให้เจ้านายยอมรับได้สำเร็จ
แต่ยังแสดงให้เห็นวิธียืนหยัดเคียงข้างการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงสูง ในฐานะที่เป็นต้นคิดโมเดลธุรกิจใหม่
Pottruck รู้ดีว่า ถ้าล้มเหลว ตัวเขาก็ต้องจบเห่ด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนั้น
Useem ชี้ว่า การรับความเสี่ยงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผู้นำไม่ว่าในระดับไหนหรือในแวดวงใด
แม้คุณ จะรู้ว่าการตัดสินใจนั้นๆ อาจมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงสูง แต่ถ้าหากคุณจะต้องเป็นผู้ที่รับความเสี่ยงนั้น
คุณก็จะต้องยอมรับ และไม่ผลักภาระไปให้เจ้านายของคุณ
Leading Up เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์แก่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน คุณจะได้อ่านเรื่องจริงทั้งของคนที่รู้วิธีเป็นผู้นำ
และคนที่ไม่รู้ ซึ่งทำให้การเรียนรู้ของคุณสมบูรณ์ขึ้น