|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ ตุลาคม 2547
|
|
แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินคนหนึ่งของเมืองไทยที่มีแฟนเพลงตั้งแต่ขอทานยันรัฐมนตรีมานานกว่า 20 ปี
ความชื่นชอบในเสียงเพลงกลายเป็นอิทธิพลที่ทรงพลังทางความคิดให้กับคนกลุ่มใหญ่อย่างไม่ตั้งใจและเมื่อเขาเป็นพ่อค้าขายสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายซ้อนทับไปกับแฟนเพลง เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงหนาหู เป็นการฉวยโอกาสที่ "รับไม่ได้" ในความคิดของคนหลาย ๆ คน
"ผู้จัดการ" ได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสเงื่อนแง่ต่างๆ ในชีวิต รวมทั้งวิธีคิดของเขาในหลายๆ เรื่อง เพื่อให้ได้ภาพตัวตนที่แท้จริงของเขา เรื่องราวของนักธุรกิจที่มีรากมาจากนักดนตรีเพื่อชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักในสังคมไทย
นัดแรกของ "ผู้จัดการ" กับแอ๊ด คาราบาว มีขึ้นที่บ้านบนถนนกรุงเทพกรีฑาในเช้าวันหนึ่ง เขาจัดการกับอาหารมื้อเช้าง่ายๆ จากฝีมือของ "พี่ป๋อง" ที่ย้ายตำแหน่งจากคนขับรถมาเป็นพ่อครัว ในขณะที่เราขอตัวเดินชมรอบๆ บริเวณบ้าน
จากแฟลตการเคหะ ย่านคลองจั่น แอ๊ดย้ายเข้าบ้านหลังนี้เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา รายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขายเทปชุด "เมดอินไทยแลนด์" ทำให้เขามีบ้านหลังแรกในชีวิต เริ่มจากการซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ สร้างบ้าน ต่อมาซื้อที่ดินเพิ่มต่อเติม ส่วนของตัวบ้านออกไปเพื่อใช้เป็นห้องอัดเสียงและบริษัท จนปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดรวมกันประมาณ 3 ไร่ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ หางนกยูงต้นใหญ่ริมรั้วนั้นอายุหลายสิบปีทีเดียว
หากดูทรัพย์สินเพียงแค่นี้ด้วยสายตาและจินตนาการเลยไปถึงคิวคอนเสิร์ตที่มีแสดงทุกคืน บ้านหลังใหญ่ในพื้นที่อีก 30 ไร่ ในอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และการก้าวไปเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ "คาราบาวแดง" ที่กำลังเขย่าวงการเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ในวันนี้ รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ซึ่งหากได้กระบวนการจัดการอย่างเป็นระบบ แอ๊ดน่าจะเป็นศิลปินคนหนึ่งที่มีฐานะดีทีเดียว
"ตอนนี้ทั้งบ้านทั้งที่ดินหลังนี้คงผ่อนหมดแล้วใช่ไหมคะ" "ผู้จัดการ" หันไปถามศิลปินเพลงเพื่อชีวิต ที่เดินตามออกมา
"ครับ หมดแล้ว มันเข้าไปอยู่ในแบงก์อีกครั้งทั้งหมดแล้ว ผมไม่มีเงินสดสักบาทเดียวตอนทำคาราบาวแดง" เขาตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ ด้วยโทนเสียง ที่ค่อนข้างเบา นัยว่าเป็นเทคนิคการรักษาเสียงอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการไม่ดื่มน้ำเย็น แต่ใบหน้าเริ่มเครียดขึ้นเมื่อพูดต่อว่า
"กิจการของบาวแดงมันเป็นกิจการ ของเราเองที่แลกมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างความสำเร็จหรือล้มเหลวของมันคือชีวิตของเรา"
แน่นอนทุกคนรู้ว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้ เครื่องดื่มชูกำลัง คาราบาวแดง มาแรงจริงแต่ความเสี่ยงยังมีอีกมาก
บนเส้นทางอันยาวนานกว่า 20 ปี ของถนนสายดนตรี ที่ไม่มีค่ายใหญ่เป็นคนกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ เขาจึงไม่เป็นเพียงแค่ศิลปินอย่างเดียว แต่ได้ลงมาสัมผัสกับธุรกิจด้านนี้ด้วยตนเองมาโดยตลอด เพียงแต่การต้องสู้รบปรบมือกับการพิมพ์ปกเทปปลอม ปัญหาเรื่องเทปผีซีดีเถื่อน และการทำธุรกิจของบริษัทมองโกลเกี่ยวกับห้องอัดเสียงก็สู้ห้องอัดเสียงใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีทันสมัยไม่ได้ ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา
"ชีวิตที่เป็นศิลปินมันจะสั้นลงเรื่อยๆ วันหนึ่งผมก็ได้คำตอบว่า ดนตรีมันไม่น่าจะดี ต่อไปแล้วโดยเฉพาะในประเทศเรา ถ้าเพลงของผมเป็นภาษาอังกฤษผมอาจยอมดิ้นรน แต่พอมันเป็นแบบนี้มันเหมือนกับว่าเราอยู่ในโลกแคบ ๆ ใบเดียว"
อย่าลืมว่าหลายปีมานี้ยอดขายเพลงเพื่อชีวิตลดลงมาก แม้แต่เพลงคาราบาวที่เคยขายได้ 4-5 แสนม้วนต่อชุด หรือชุดเมดอินไทยแลนด์ เคยขายได้ถึง 3 ล้านม้วน ปัจจุบันไต่ยอดขายนั้นไม่เคยถึง ในขณะที่วงจรชีวิตของศิลปินคนนี้ยังคงเหมือนเดิม
น้อยคนจะรู้ว่าชีวิตของเขาเล่นคอนเสิร์ตปีละไม่ต่ำกว่า 300 คืนหรือมากกว่า เลิกเที่ยงคืน ตี 1-ตี 2 นอนในรถต่อเพื่อไปตื่นอีกจังหวัดหนึ่งมาตลอด ในขณะที่ราคาค่าตัวน้อยกว่าศิลปินค่ายใหญ่ๆ หลายคน
แหล่งข่าวในวงคาราบาวเองเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า
"เอาแค่เสก โลโซ คนเดียวไปเล่นตามผับประมาณ 2 แสนบาทต่อคืน คาราบาวเล่นในผับทั้งวง ราคา 7-8 หมื่นบาท ผับเล็กหน่อย โต๊ะน้อยหน่อยก็แค่ 3-4 หมื่นบาท ใหม่โชว์คืนเดียวประมาณ 1-2 แสนบาทไม่ต้องมีแบ็กอัพ"
ส่วนราคาเล่นในต่างจังหวัด งานวัด งานทั่วไปประมาณ 2 แสนบาทต่อคืน ในวงคาราบาวมีนักดนตรี 9 คน คนตั้งเครื่อง 4-5 คน แอ๊ดได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เล็กกับเทียรี่ได้ประมาณคนละ 15 เปอร์เซ็นต์ อย่างดุก พี่อ๊อดได้ 10 เปอร์เซ็นต์ มือกลอง ที่เหลือประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์"
"ดุก" ผู้จัดการวง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงหน้าฝนรายได้ต่อเดือนน้อยลงเหลือประมาณ 1-2 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงอื่นๆ อย่างหน้าร้อน หน้าหนาว รายได้อาจจะสูงขึ้น เท่าตัว
และไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่โชคดีมีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง "เดอะพิซซ่า คัมปานี" จ้างวงคาราบาวไปเล่นที่อาคารอารีน่า เมืองทองธานี ในอัตราค่าจ้างคืนละ 1 แสนบาทติดกัน 2 คืน คืนละ 1 ชั่วโมง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
รายได้ที่เหลือจากการแบ่งเปอร์เซ็นต์ถ้าเหลือถูกนำเข้ากองกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในเรื่องบำรุงรักษาเครื่องดนตรี ยานพาหนะ เงินเดือนคนขับรถ และพนักงานอีกส่วนหนึ่ง รายได้อื่นๆ ของแอ๊ดยังมาจากบริษัทมองโกล ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 เพื่อดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์เพลง และสัญลักษณ์ต่างๆ ของวงคาราบาว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะต่อยอดเม็ดเงินจากจุดนี้ ด้วยเหตุผลว่า "ผมคิดว่าเราจะเป็นอมตะ เมื่อมองว่าเราเป็นสาธารณะ" เพียงแต่ว่าในช่วงระยะหลัง ทั้งเพลงและโลโก กลายเป็นเครื่องมือทางการค้าของคนอื่นๆ มากขึ้น การตั้งบริษัทมองโกล มาดูแลเลยเป็นเรื่องจำเป็น บริษัท AUBARAC เป็นห้องอัดเสียงที่พัฒนาจากระบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิตอล
บริษัท มองโกล พิคเจอร์ ที่ร่วมกับ บริษัทกันตนา ทำหนังวีซีดีออกมา 3 เรื่อง รวมทั้งทำสารคดีเรื่องไก่ชน เม็ดเงินจาก 3 บริษัทนี้ไม่น่าจะมากนัก โดยเฉพาะมองโกล พิคเจอร์ ที่มีการแข่งขันกันมากในปัจจุบัน
ส่วนรายได้จากสินค้าของคาราบาว ที่ร้านในสวนจตุจักรถูกบริจาคไปยังองค์กร การกุศลต่างๆ โดยไม่ได้เข้ากระเป๋าสมาชิกในวง เช่นเดียวกับรายได้จากการขายหนังสือผลงานรวมเล่มจากคอลัมน์ "หน้าไมค์สไตล์แอ๊ด" ที่บริจาคให้กับกลุ่มอีสานใต้
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่ารายได้ต่อเดือนของแอ๊ดไม่น่าต่ำกว่าเดือนละ 1 ล้าน บาท
"บอกว่าแอ๊ดไม่มีตังค์ หรือเล็ก รี่ ไม่มีตังค์ คนไม่เชื่อ เราก็เห็นเขาโลดแล่นอยู่บนเวทีตลอด จะบอกไม่มีตังค์ก็ไม่ได้ แต่ไม่ได้เยอะอย่างที่คนคิด ถ้าแกทำงานมา 20 ปี ประสบความสำเร็จสุดท้ายมีเงินมีทรัพย์สินประมาณ 50 ล้าน ก็ถือว่ารวย ผมว่าแอ๊ดรวมๆ ทรัพย์สินของเขาก็ไม่น่าต่ำกว่า 50 ล้าน แต่ไม่ได้รวยเป็น 100 ล้านอย่างที่หลายคนคิด"
"หมอคง" สหายคนหนึ่งของแอ๊ดเคยเล่าให้ฟัง
ในขณะเดียวกันใครๆ ก็รู้ว่า ภาระของเขามีอีกมากมาย ภรรยา 1 ลูก 3 ที่กำลัง อยู่ในวัยศึกษาในต่างประเทศ คนในวงและเพื่อนพ้องน้องพี่ ทีมงานอีกกว่า 50 คนคือ ภาระสำคัญ
รังสรรค์ ศรีสุภา "ตุ๋ย" ผู้จัดการส่วนตัวของแอ๊ด คาราบาว และกรรมการบริหาร บริษัทมองโกล เล่าว่า
"หลายคนไม่เชื่อ เวลาผมบอกว่าแอ๊ดใส่เสื้อยืดราคาไม่กี่ตังค์ ใส่กางเกงยีนส์มือสอง ตัวละ 150 บาท ซื้อจากจตุจักร รองเท้า เข็มขัด กระเป๋าหนัง มือสองหมด ก็ผมเป็นคนซื้อให้เองกับมือ ภรรยาแอ๊ดไม่ได้มาดูเรื่องนี้หรอก ของส่วนตัวที่จ่ายแพงหน่อยก็คงจะเป็นรถฮาร์เลย์คันหนึ่งซื้อมาหลายปีแล้ว 6 แสนบาท รถคันอื่นที่มีก็มือ 2 หมด"
ข้อความที่เขียนด้วยลายมือตนเองในกระดาษ A4 ติดอยู่ตรงประตูบานหนึ่งใกล้ๆ ครัวที่บ้านของเขา ที่ว่า "ที่นี่มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอน แต่ไม่มีเงินให้ยืมแล้ว" สะท้อนภาพชีวิตของเขาต่อสังคมเพื่อนฝูงได้ระดับหนึ่ง
"นี่คือสาเหตุที่ผมต้องหันไปทำอย่างอื่นด้วยไม่อย่างนั้นอยู่ไม่รอดแน่ เพราะภาระมันเยอะ ตอนนี้องค์กรมันใหญ่ ที่คุณเดินเข้ามาในบริเวณบ้านนี่ ค่าไฟ ผมจ่ายคนเดียว อย่างบางคืนกลับมาจากเล่นคอนเสิร์ตผมต้องคอยเดินไล่ปิดไฟ ปิดแอร์"
จะว่าไปแล้ววิญญาณของคนทำมาหากินอยู่ในตัวของเขาตั้งแต่เด็กเพราะมาจากครอบครัวที่มีลูกๆ 6 คน พ่อเป็นครูมาก่อนที่จะลาออกมาเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ด มีตั้งแต่ยาสีฟัน สบู่ ชุดผ้าไตรจีวร ลูกฟุตบอล บาสเกตบอล และแม่ยังทำขนมให้ลูกช่วยขายในตอนเย็นและวันหยุดอีกด้วย
"ผมได้ไอเดียการทำบาวแดงมาจากคุณเสถียร ตอนนั้นแกมีสูตรอยู่แล้ว เคยพูดกันมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่คิดว่าจะทำได้เพราะไม่มีแรงจูงใจ แต่พอผมคิดว่าคราวนี้ต้องทำ เราเริ่มคิดทุกอย่างจากศูนย์ ไปเรียนรู้เรื่องเครื่องจักร ออกแบบเครื่องจักร ออกแบบโลโก กระดาษแบบไหน หนาบางอย่างไร เป็นเรื่องที่มันมาก เป็นธุรกิจชิ้นแรกที่ผมลงไปทำกับมันอย่างจริงจัง"
เจริญ สิริวัฒนภักดี และธนินท์เจียรวนนท์ เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจคนหนึ่ง เจริญมีสายสัมพันธ์กันตั้งแต่ การเข้ามาเป็นสปอนเซอร์คนสำคัญในการแสดงคอนเสิร์ตของคาราบาว การแต่งเพลงโฆษณาและเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เบียร์ช้างฟรีนั้นเป็นการตอบแทนให้กับผู้มีพระคุณคนหนึ่ง
ส่วนธนินท์นั้นรู้จักกันเพราะไก่ชน ในขณะที่ชีวิตครอบครัวมีโอกาสได้พร้อมหน้าพร้อมตากันในช่วงปิดเทอม แอ๊ด คาราบาว มีลูก 3 คน เมื่อเล็กๆ ทุกคนเรียนในโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ก่อนจะไปต่อที่โรงเรียนนานาชาติจักรวาล เขาใหญ่
ปัจจุบันลูกทั้ง 3 คนเรียนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย คนโตกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยปี 1 ส่วนลูกชายคนเล็ก "โซโล" เรียนระดับไฮสคูล โดยมี "ลินจง" ภรรยาไปดูแลอยู่ที่นั่น
"คนเล็กชอบร้องเพลง พรุ่งนี้เขาชวนเพื่อนมาอัดเสียง (เป็นช่วงปิดเทอมของลูกชาย คนเล็ก) ตอนเล็กๆ ก็ตามผมไปเล่นดนตรีบ่อย ส่วนลูกสาวเคยไปเล่นดนตรีกับโจอี้ บอย ไปกับพวกแกรมมี่บ้าง งานพัทยาเฟสติวัลก็ไป ผมก็ปล่อยให้ลูกไปหาประสบการณ์เอง เวลาผมมีคอนเสิร์ตใหญ่ก็จะบินมาดู แต่ผมก็พยายามห้ามลูกบ้าง 3 คน บินไปบินกลับนี่หลายตังค์นะลูก อย่ามาเลย เดี๋ยวพ่อส่งวีซีดีไปให้" (หัวเราะ)
เวลาว่างที่มีน้อยมากหมดไปกับการอ่านหนังสือ เขาชอบอานหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ โดยได้รับอิทธิพลมาจากพ่อที่เป็นครู โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นหนังสือพวกท่องไพรของชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ หรือร้อยป่า (อรชร พันธุ์บางกอก) หนังสือของพนมเทียน เมื่อมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พักกับพี่เขยซึ่งเป็นนักข่าวประชาชาติ ก็เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยหนังสืออีก
หนังสือ 5 เรื่องที่เคยเป็นหนังสือในดวงใจ คือ มหาภารตยุทธ คัมภีร์ห่วงทั้ง 5 ขุนเขายะเยือก ศาสดาขบถ และปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
เพลงที่ชอบคือเพลง "รอยไถแปร" ของก้าน แก้วสุพรรณ เพลง "มนต์การเมือง" ของชาย เมืองสิงห์
งานอย่างหนึ่งที่แอ๊ด คาราบาว ทำมาตลอดคือการเขียนหนังสือ ปัจจุบันเขามีงานเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของตนเองที่ร้อยรัดเชื่อมโยงไปกับเหตุการณ์บ้านเมืองและบุคคลต่างๆ เดินเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ น่าสนใจหลายเล่ม เช่น "ก้าวแรกของชีวิต ก้าวที่สองคนดนตรี" "บางระจันทร์วันเพ็ญ" "ไม่ต้องร้องไห้" "ไก่ชนที่น่าชัง" "ปั้นเพลงให้เป็นหนัง"
ส่วนเรื่องที่กำลังทยอยเขียนเตรียมตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในหนังสือ "สีสัน" คือการทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกาและยุโรป เมื่อประมาณกลางปี 2547 ที่ผ่านมา
แอ๊ด คาราบาว ยังมีคิวแสดงละคร ให้กับบริษัทกันตนาอีกด้วย เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่เขาชอบและต้องการศึกษา เรื่องที่เขาเคยแสดงคือลูกผู้ชายหัวใจเพชร กษัตริยา ฯลฯ
ทุกวันนี้แอ๊ด คาราบาว เป็นเจ้าของบริษัทที่เหนื่อยที่สุด กลางคืนมีคิวคอนเสิร์ต ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนกลางวันต้องช่วยทีมงานมาร์เก็ตติ้งของบริษัท คาราบาวตะวันแดง เดินสายร่วมกิจกรรมขอบคุณลูกค้า ยังไม่รวมคิวไปต่างประเทศ และงานกุศลที่ปฏิเสธไม่ได้ รวมทั้งภาระในตำแหน่งนายกสมาคมไก่ชนแห่งประเทศไทย ที่ต้องติดตามเรื่องไข้หวัดนกตลอดเวลา
"สักวันหนึ่งเมื่อคาราบาวแดงยอดขายนิ่ง คุณจะปลีกตัวออกมาแสดงคอนเสิร์ต อ่านหนังสือ เขียนหนังสือเงียบๆ เท่านั้น หรือจะไล่ล่าตัวเลขยอดขายต่อไป" "ผู้จัดการ" ถามระหว่างรอเครื่องบินเที่ยวกลับเมืองไทย ณ สนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ หลังจากตามไปดูคาราบาวแดงทำตลาดในประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 16-17 กันยายน 2547 ที่ผ่านมา คำตอบที่ได้รับคือ
"เมื่อลงมาทำธุรกิจนี้เราหยุดไม่ได้แน่นอน พอหยุดคู่แข่งจะล้ำหน้าเราไปมากขึ้นทุกที ศิลปินบางคนอาจมีความสุขที่จะอยู่เงียบๆ ถึงเวลาเล่นดนตรี ว่างอ่านหนังสือ จิบไวน์ แต่ผมไม่ใช่ ผมชอบออกทัวร์ ชอบเจอลูกค้า ไม่คิดว่างานหนักเลย เพราะผมได้เรียนรู้วิธีคิดของคนใหม่ๆ ตลอดเวลา ได้ข้อมูลในการเขียนหนังสือ เขียนเพลง นี่คือวิธีการต่อสู้อีกทางหนึ่ง ผมไม่ใช่ศิลปินแบบเล็ก (แอ๊ดพยักเพยิดไปยังเล็ก คาราบาว ที่กำลังสีไวโอลินอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับการนั่งรอเครื่องบินที่ดีเลย์ไปเกือบชั่วโมง) เขาไม่สนใจเรื่องอะไรเลย แต่ผมภูมิใจในตัวเขาเพราะว่าเล็กเรียนรู้เรื่องดนตรีอยู่ตลอดเวลา"
|
|
|
|
|