35 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นตัวเลขที่เกิดจากกลยุทธ์การรวมตัว แล้วทำให้กลายเป็นบริษัทพลังงานใหญ่อันดับ
3 ของแดนอินทรี
Conoco Inc. และ Phillips Petroleum ตัดสินใจรวมกิจการกันเพื่อหาจุดแข็งด้าน
การแข่งขันและการเติบโตของผลตอบแทน ที่จะก่อให้เกิดโอกาสการเติบใหญ่จาก ศักยภาพการเงินและสถานะการปฏิบัติงานภายใต้ชื่อใหม่
ConocoPhillips
หลังจากผนึกกำลังกันเป็นที่เรียบ ร้อยแล้วกลายเป็นบริษัทพลังงานใหญ่อันดับ
3 ในอเมริกาหากพิจารณาในเชิงตลาดทุน ปริมาณสำรองน้ำมัน แก๊ส และการผลิต ขณะที่ระดับโลกเป็นบริษัทใหญ่อันดับ
6 ที่มีปริมาณสำรองไฮโดรเจน และใหญ่เป็น เบอร์ 5 ของโลกทางด้านโรงกลั่นน้ำมัน
ภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ผู้ถือหุ้นฝ่าย Phillips จะได้รับหุ้น 1 หุ้นในหุ้นสามัญของ
บริษัทใหม่ ส่วนฝ่าย Conoco จะได้รับหุ้น เพียง 0.4677 หุ้นต่อ 1 หุ้นเดิมที่ถืออยู่ในอดีต
โดยที่สุดแล้วฝ่ายแรกจะมีสัดส่วนถือหุ้น 56.6% อีก 43.4% เป็นสัดส่วนของฝ่ายหลัง
"การรวมกิจการกันแสดงให้เห็นถึง ประสิทธิภาพดีเยี่ยมของทั้งคู่ โดยบริษัทใหม่
จะอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งทางการผลิต พลังงานในอเมริกาและทั่วโลกซึ่งจะมีส่วน
สำคัญของโอกาสทางประสิทธิภาพและการ เติบโตใน 5 ทวีปของพวกเราในปัจจุบันและอนาคตแห่งการลงทุน"
Archie W. Dunham ประธานและเจ้าหน้าที่บริหาร Conoco เล่า
ทางด้าน James J. Mulva ประธาน และเจ้าหน้าที่บริหารของ Phillps บอกว่า
นี่เป็นการผนึกกำลังที่สร้างความมั่นใจของ อเมริกาสู่ความเป็นบริษัทปิโตรเลียมข้ามชาติ
ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก
"สำหรับ ConocoPhillps มีพลังสู่หน ทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมพลังงาน พวกเราจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าในการนำ
เสนอสิ่งที่ตนเองถนัดให้เติบใหญ่ พัฒนา โอกาสใหม่ๆ ในสิ่งที่อยู่ในธุรกิจที่เกิดขึ้นวัน
ข้างหน้า และทำให้ผลตอบแทนของธุรกิจ ดาวน์สตรีมสูงขึ้น"
สำหรับธุรกิจอัพสตรีม Conoco Phillips ก็เป็นผู้นำแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้
และกำลังพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในพื้นที่หลักจากการเติบโตของโครงการ
หากรวมปริมาณสำรองไฮโดรคาร์บอนทั้งสอง บริษัทเข้าด้วยกัน ในปี 2000 มีสูงถึง
8.7 พัน ล้านบาร์เรล และสามารถผลิตได้วันละ 1.7 ล้านบาร์เรล
ทางด้านโรงกลั่นน้ำมันบริษัทแห่ง ใหม่จะมีถึง 19 แห่งทั้งในอเมริกา อังกฤษ
ไอร์แลนด์ เยอรมนี สาธารณรัฐเชค และมาเลเซีย และสามารถกลั่นน้ำมันได้ 2.6
ล้าน บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ความแข็งแกร่งทาง การตลาดในการเสนอต่อผู้บริโภคในอเมริกา
สูงยิ่งขึ้น
ส่วนผลดีต่อการรวมกิจการกันทั้ง สองคาดหวังเอาไว้ว่าจะสามารถลดต้นทุน การดำเนินงานได้อย่างน้อย
750 ล้านเหรียญ สหรัฐภายหลังจากดีลนี้จบสิ้น 1 ปี โดยสิ่ง ที่ลดลงเป็นผลมาจากศักยภาพที่เพิ่มขึ้น
ด้านการสำรวจน้ำมัน การผลิตและกิจกรรม ทางดาวน์สตรีม รวมไปถึงการลดบุคลากร
ของฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงาน