"อีลิทการ์ด" ออกอาการขายสมาชิกได้แค่ 660 ราย ต้องลดเป้าปีนี้เหลือ 1,000 ใบ จากเดิมที่ตั้งไว้ถึงแสน แต่ยังไม่ยอมแพ้ เดินหน้าตั้งตัวแทนในรัสเซียและยุโรปเพิ่ม เตรียมออกแคมเปญใหม่ตอบโจทย์สนองความต้องการลูกค้า 3 ข้อ "โชคศิริ" เผยวันนี้ประชุมบอร์ดตัดสินกรณี CNN ทวงเงินค่าโฆษณา 149 ล้านบาท
นายโชคศิริ รอดบุญพา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก ไทยแลนด์ อีลิท เปิดเผยถึงการจำหน่ายบัตรอีลิทว่า ขณะนี้ได้ปรับเป้าการจำหน่ายบัตรใหม่โดยถึงสิ้นปีตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 1,000 ใบ ซึ่งเป็นยอดที่ปรับลดจากเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ตั้งเป้าไว้ 3,000 ใบ โดยปัจจุบันบัตรดังกล่าวมียอดจำหน่ายแล้ว 660 ใบ ทั้งนี้เพราะจากข่าวต่างๆ เกี่ยวกับบัตรอีลิทที่ออกมาในแง่ลบ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถเดินตามแผนที่วางไว้ได้ เช่น กรณีการฟ้องร้องเรียกเก็บค่าโฆษณาจาก CNN หรือปัญหาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้วไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ ทำให้ลูกค้าไม่เกิดความเชื่อมั่นในตัวบัตร จึงไม่ตัดสินใจซื้อ
โครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิท เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวระดับบนเข้ามาเป็นสมาชิกบัตร ในราคาใบละ 1 ล้านบาท แลกกับการใช้บริการสนามกอล์ฟ โรงแรม และสปา พร้อมทั้งสิทธิพิเศษอื่นๆ ตลอดชีพ มีการกำหนดเป้าหมายที่จะหาขายบัตรสมาชิกให้ได้ 1 ล้านใบ ภายใน 5 ปี ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าประเทศถึง 1 ล้านล้านบาท โดยในปีแรกคือ ปี 2547 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100,000 ใบ แต่เมื่อเริ่มดำเนินการ การตอบรับกลับไม่เป็นไปตามคาด ในขณะที่สมาชิกที่ซื้อบัตรไป เมื่อเข้ามาใช้บริการ พบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนที่โฆษณาไว้ โดยเฉพาะกรณีของสนามกอล์ฟ และสิทธิถือครองที่ดิน รวมถึงกรณีฟ้องร้องเรียกเก็บค่าโฆษณาของ CNN อีก 149 ล้านบาท จึงมีการปรับลดเป้ายอดขายลงมาเรื่อยๆ ที่ 10,000 ใบ 5,000 ใบ 3,000 ใบ และล่าสุดคือ 1,000 ใบ
นายโชคศิริกล่าวว่าบริษัทต้องดำเนินการเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดเป้าหมาย เพื่อพร้อมที่จะเดินหน้าต่อในปี 2548 ซึ่งตั้งเป้ายอดขายบัตรไว้ที่ 10,000 ใบ ซึ่งสิ่งที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมยอดขายในปีหน้า นอกจากการทำการตลาดให้ลูกค้ารู้จักแล้ว ยังเตรียม ออกแคมเปญพิเศษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำเพื่อนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ
"ในกรอบของแคมเปญจะต้องตอบลูกค้าได้ใน 3 ข้อสำคัญคือ 1.ต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่ในไทยจะอยู่อย่างไร 2.เมื่ออยู่ได้ก็ต้องอยากอยู่ใกล้เงินของเขา ดังนั้นจะต้องสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้ และ 3.เมื่อมีที่อยู่และมีเงินใช้แล้ว ดังนั้น หากเข้ามาอยู่เมืองไทยจะอยู่ในสถานะอะไร ทั้ง 3 ข้อเป็นคำตอบที่ลูกค้าบัตรอีลิทต้องการคำตอบ เพราะสถานการณ์การแข่งขันวันนี้ได้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะ มีประเทศมาเลเซีย ได้เปิดตัวบัตร My Second Homeเมื่อเดือนก่อน ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ง่ายๆในการถือครองที่ดินในการอยู่อาศัย" นายโชคศิริกล่าว
สำหรับเงื่อนไขการถือครองที่ดิน คงจะไม่ปรับเปลี่ยนอะไร ยังคงใช้ข้อบังคับตามกฎหมายเก่าที่มีอยู่ คือ ชาวต่างชาติที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาล 40 ล้านบาท สามารถถือครองที่ดินได้ 1 ไร่ และถือครองคอนโดมิเนียมได้ในระยะเวลา 99 ปี แต่สิ่งที่บริษัทจะทำคืออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เช่น ต้องการซื้อพันธบัตรก็จะจัดหาให้ หรือต้องการลงทุนด้านไหน ก็จะติดต่อหน่วยราชการและอำนวยความสะดวกให้ นอกจากนั้นในส่วนของ ร้านสมาชิก จะเร่งหาพันธมิตรเพิ่มเติม โดยเฉพาะสนามกอล์ฟ เพื่อต้องการให้ลูกค้าสามารถกำหนดได้ว่าต้องการเข้ามาใช้บริการในช่วงเวลาใด ถือเป็นการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สร้างมูลค่าได้เพิ่มขึ้น
ตั้งตัวแทนขายในรัสเซีย-เบเนลักซ์
นายโชคศิริ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างฐานการทำตลาดในยุโรป ล่าสุดได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในรัสเซียในนาม Intimex Holdings Ltd และ Thai Elite CIS และกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ซึ่งประด้วย เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ในนามของบริษัท Intimex Holdings Ltd และ Elite Card International Fund Management B.V.I.O. ตั้งเป้าทั้งรัสเซีย และกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ จะมีสมาชิกได้ 2,000-3,000 ราย ในแต่ละแห่ง ภายในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนั้น ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ Intimex Holdings Ltd. Penning C.S. เพื่อดำเนินการตลาดโครงการบัตรสมาชิก ไทยแลนด์อีลิท ในเยอรมนี ส่วนแผนงานในปีหน้าเตรียมขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆเพิ่มเติม เช่น สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ และอเมริกา ส่วนตลาดที่มีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายไปแล้ว ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ฮ่องกง และ มาเก๊า
ชี้ขาดหนี้CNN วันนี้
ในวันนี้ (22 ก.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อหาข้อยุติ ในเรื่องของภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะค่าโฆษณาของ CNN ในจำนวนเงิน 149 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง บริษัทได้หยุดการจ่ายเงินทั้งหมด ทำให้มียอดหนี้รวมแล้วประมาณ 190 ล้านบาท จาก 20 รายการ หากคณะกรรมการเห็นสมควรให้จ่าย บริษัทก็พร้อมที่จะจ่าย โดยไม่ต้องต่อรองราคากันใหม่ ถือเป็นการตัดสินชี้ขาด และการทำงานของบริษัท ทุกอย่างต้องตอบต่อสาธารณชนได้ เนื่องจากเงินทุกบาทเป็นภาษีของประชาชน ที่นำมาใช้ต่อยอดเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
|