Q-CON เจ้าตลาดผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบา ตั้งเป้ายอดขายปีหน้าพุ่งกระฉูด 2 พันล้านบาท หรือโตกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 1 พันล้านบาท หรือขยายตัว 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปีหน้าเตรียมเปิดโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่ง รองรับการผลิต 12 ล้านตารางเมตร ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะมีการใช้กำลังการผลิตประมาณ 10.5 ล้านตารางเมตร เล็งขยายฐานตลาดส่งออกประมาณ 10% ส่วนที่เหลือเป็นการใช้ในประเทศ โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าภาครัฐเพิ่มเป็น 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายจากภาครัฐ 7-8% ของยอดขายทั้งหมด
นายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (Q-CON) เปิดเผยว่า ในปี 2548 บริษัทเตรียมเปิดโรงงานผลิตคอนกรีตมวลเบาเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมระยอง มูลค่าการลงทุน 1,450 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิต 12 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันมีโรงงาน 2 แห่ง ที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีกำลังผลิตแห่งละ 3 ล้านตารางเมตร ซึ่งในปีนี้โรงงานแห่งที่สองที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไตรมาส 2 เริ่มมีการผลิต ซึ่งจะทำให้ปีนี้ทั้งปีจะมียอดการใช้กำลังการผลิตประมาณ 4.5 ล้านตารางเมตร
สำหรับยอดขายในปี 2547 หลังเปิดตัวโรงงานแห่งที่สอง คาดว่าจะทำให้ยอดขายในปีนี้เพิ่มเป็น 1,000 กว่าล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มียอดขายประมาณ 733 ล้านบาท ส่วนในปี 2548 หลังเปิดโรงงานเพิ่มเป็น 4 แห่ง ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 10.5 ล้านตารางเมตร เนื่องจากโรงงานแห่งที่ 4 เปิดตัวในช่วงปลายปี ทำให้การผลิตยังใช้ไม่เต็มที่ ซึ่งจุดนี้จะทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2 พันล้านบาท ในปี 2548 หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 100%
ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายรวม 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายประมาณ 343 ล้านบาท และแนวโน้มในไตรมาส 3 คาดว่ายอดขายจะสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน เนื่องจากการที่โรงงานแห่งที่ 2 ที่เพิ่งเปิดตัวเริ่มมีการผลิตป้อนตลาดมากขึ้น
"ในปีหน้า หลังจากที่มีการเปิดตัวโรงงานแห่งที่ 3 ในไตรมาส 1 และโรงงานที่ 4 ในไตรมาส 3 จะทำให้กำลังการผลิตมากขึ้น บริษัทจึงมีแผนนำผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาที่ผลิตส่งออกไปขายยังต่างประเทศประมาณ 5-10% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ขณะที่ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายในส่วนของโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐที่จะเกิดขึ้น 10% เพิ่มจากปี 2547 ที่คาดว่าจะมียอดขายจากโครงการรัฐ 7-8% ขณะที่ในปี 2546 มียอดขายจากภาครัฐเพียง 3-4% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นการผลิตเพื่อป้อนให้กับพันธมิตรที่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทคือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ควอลิตี้เฮาส์,เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 48% ของยอดขาย และขายให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ และเอเย่นต์"
นายพยนต์กล่าวว่า ในส่วนของโครงการที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐในปีหน้าจะเกี่ยวข้องกับการโครงการก่อสร้างเมืองใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ กับสนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ หรือโครงการเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับนโยบายของ Q-CON ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้ารักษาส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) ไม่ให้ต่ำกว่า 50% โดยปัจจุบันถือเป็นบริษัทที่มีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง ในธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบา โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 75% หรือมียอดขายเฉลี่ยกว่า 3 ล้านตารางเมตร
ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2547 มีการขออนุญาตก่อสร้างรวม 60 ล้านตารางเมตร และคาดว่าในปีหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 25% ซึ่งทำให้เห็นแนวโน้มความต้องการของตลาดมีมากขึ้น โดยปัจจุบันผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์มวลเบามีเพียง 2 รายที่เป็นเจ้าตลาดคือ Q-con และซุปเปอร์บล็อค และคาดว่าในปีนี้การใช้ผลิตภัณฑ์มวลเบาจะอยู่ที่ 10% และเพิ่มเป็น 15% ในปีหน้า ของปริมาณงานก่อสร้างที่ขออนุญาต
สำหรับโครงสร้างการเงินของบริษัท หลังเปิดตัวโรงงาน 3 และ 4 ที่ใช้เงินลงทุนกว่า 1,450 ล้านบาท ซึ่งกู้เงินจากสถาบันการเงินประมาณ 1.2 พันล้านบาท โดยสถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มจาก 0.25 เท่า ในปัจจุบัน เพิ่มเป็น 0.8 เท่า
นายพยนต์ กล่าวว่า การที่บริษัทได้เปิดโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่ง ในภาคตะวันออกในปีหน้า เนื่องจากต้องการขยายตลาดไปสู่ต่างจังหวัด ให้มากขึ้น และที่สำคัญเพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้กับลูกค้าของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2,100-2,200 บาทต่อคิว หากขายในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่เมื่อส่งไปยังต่างจังหวัดในภาคตะวันออกต้นทุนค่าขนส่งจะเพิ่มขึ้น 600-700 บาท หรือราคาขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3,000 บาทต่อคิว ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่าขนส่งจะอยู่ที่ 450 บาทต่อคิว หรือราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2,650-2,750 บาทต่อตัน
โดยในแผนการดำเนินงานในช่วงต่อไป Q-CON มีแผนที่จะเปิดโรงงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกัน เนื่องจากต้องการขยายฐานตลาดผลิตภัณฑ์คอนกรีต มวลเบาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
|