บทบาท ที่แท้จริงของเขาไม่ใช่อยู่ ที่การมีวิสัยทัศน์ที่ดีเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด อยู่ ที่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ตามเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำ ที่เข้มแข็ง เด็ดขาด และเข้มงวด จนกลายเป็นความคิด ที่เชื่อมั่น แนวทางนี้ของเขาอาจขยายไปสู่ความคิดระดับสังคมมากขึ้น

เบื้องหลังความสำเร็จของบัณฑูร ล่ำซำ ในการนำพาธนาคารกสิกรไทยไปสู่ความสำเร็จในการปรับตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถแข่งขันในธุรกิจ ที่มีผู้แข่งขัน ที่เข้มแข็งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมธุรกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ดูไม่คลี่คลายโดยง่ายในช่วง 2-3 ปีมานี้ และวิกฤติการณ์ครั้งร้ายแรงที่สุดของธนาคารไทย เขาคือ ผู้นำ ที่เข้มแข็ง สามารถนำพนักงานไปสู่การเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็ว ในฐานะแม่ทัพ ที่มีความเด็ดเดี่ยว และมีวินัยอย่างสูง

จะทำอย่างนี้ได้ ก็ด้วยการสร้างทีมเลือดใหม่ ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่า Core Group มาตั้งแต่ปี 2537 และพวกเขาเหล่านี้ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากแล้ว อีกประการหนึ่ง บัณฑูร ล่ำซำ มีความเชื่อมั่น อย่างสูงกับการสร้างระบบให้ผลตอบแทนตามความสามารถ และพยายามให้เป็นวัฒนธรรมสำคัญขององค์กรสืบไป

ทั้งสองสิ่งเป็นการวางรากฐาน ที่สำคัญ ที่ไม่มีใครทำได้มาก่อนในวงการธนาคารไทย ที่มีปฏิกิริยาในการปรับตัวองค์กรช้ามาก ทั้งนี้ระบบธนาคารไทยดำรง อยู่อย่างมั่นคงด้วยการคุ้มครองของรัฐมายาวนาน ในฐานะวงในสังคมไทย

แม้เขาจะถือได้ว่าเป็น "ทายาท" ของกลุ่มธุรกิจครอบครัวใหญ่ในฐานะผู้ก่อตั้ง ผู้บริหารต่อเนื่องของธนาคารกสิกรไทย เขาย่อมจะต้องได้รับ "อำนาจ" ในการบริหารอย่างเต็มที่ต่อจากบิดาของเขา (บัญชา ล่ำซำ) ซึ่งเป็นคนที่มีบารมีสูงทั้งในวงสังคม ครอบครัว วงศ์ตระกูล และพนักงานธนาคารระดับต่างๆ ย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่บัณฑูรจะทำได้ดีต่อจากนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยุคก่อนธนาคารกสิกรไทยเติบโตอย่างมาก ภายใต้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง บิดาของเขาเป็นคนโชคดีมาก ดังนั้น การที่บัณฑูร ล่ำซำเข้ารับช่วงต่อภายใต้สถานการณ์ ที่มีแรงกดดันมากขึ้น จนมาถึงวิกฤติการณ์นั้น สูตรสำเร็จ "อำนาจ"ในการบริหารนั้น มิใช่ความสำเร็จของการรักษาความเป็นธนาคาร ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้

เขาเน้นเสมอถึงการใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ทั้งในรางวัลที่ดี และบทลงโทษ ที่เฉียบขาดภายใต้ฐานของแนวความคิด วางกลยุทธ์ การบริหาร การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์ 3 ขั้นของธนาคารกสิกรไทยในช่วงวิกฤติการณ์มานี้
หนึ่ง-การวางแผน และดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนธนาคารอย่างทันกาล ฉลาด สามารถ เข้าถึงตลาดได้อย่างดี สอง-การปรับโครงสร้างการบริหาร ที่ให้ความสำคัญของการบริการ ลูกค้า ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น
สาม-การพัฒนาบริการใหม่ ที่มองข้ามพรมแดนธนาคารไทยออกไปสู่การแข่งขันระดับสากล ที่บังเอิญอยู่ในประเทศไทย

กระบวนการบริหารภายใต้มาตรฐานธนาคารสากลอันเข้มงวด เป็นแนวคิดสำคัญของบัณฑูร ล่ำซำ อีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะการเป็นบรรษัทภิบาล ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งไทย และต่างประเทศ เริ่มด้วยการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา กระบวนการคัดเลือกกรรมการที่โปร่งใส ด้วยระบบตั้งคณะกรรมการสรรหา ซึ่งองค์กรธุรกิจ ที่พัฒนามาจากระบบครอบครัว ไม่เคยคิดแม้จะทำ ฯลฯ ถือว่าเป็นธุรกิจ ที่มีความก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม

ธนาคารกสิกรไทยนอกจากจะเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับธนาคารคู่แข่งโดยเฉพาะธนาคารระดับโลกในประเทศไทย บัณฑูร ล่ำซำ และธนาคารกสิกรไทยก็ได้รับการยอมรับจากคู่แข่งอย่างมากทีเดียว

บัณฑูร ล่ำซำ กลายเป็นนักบริหารคนไทยคนเดียวก็ว่าได้ ที่ถูกยกย่องมากที่สุด ในเรื่องความสามารถในการบริหาร โดยเฉพาะจากสื่อตะวันตก

วันนี้เขาสนใจเรียนรู้ปรัชญามากขึ้น โดยเฉพาะมุ่งแสวงหาคำอรรถาธิบายความเป็นไปของสังคม ตลอดจนสังคมการเมืองของผู้มีอำนาจในสังคม ที่ว่าด้วยความ ถูกต้อง ชอบธรรม ทั้งนี้โดยเขาตั้งปุจฉาว่า ความดีงามของสังคมไม่ได้รับการตอบสนอง เท่า ที่ควร ความเลว ความไม่ถูกต้อง ดำรงอยู่ได้อย่างมากมาย "มันต้องมีอะไรบางอย่าง ผิดแน่ๆ" เขากล่าว

บัณฑูร ล่ำซำ ค่อนข้างผิดหวังกับปรากฏการณ์ต่างๆ เชิงสังคมมากขึ้น บ่อยครั้งเขาจึงระเบิดความคิดค่อนข้างรุนแรง ทำให้ผู้คนตีความไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะแนวคิด ที่สวนทางกับระบบเลือกตั้งปัจจุบัน

บัณฑูร ล่ำซำ ตั้งอยู่ในความเชื่อของความดี ความถูกต้อง และประสิทธิภาพประกอบกับมีประสบการณ์ในการบริหารด้วยแนวคิดอันเข้มข้นนั้น จนประสบความสำเร็จ

ปัญหาของสังคมในสายตาของเขาเป็นเรื่องน่าวิตกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ทุ่มเทกับธนาคารกสิกรไทยต่อไป ท่ามกลางการแข่งขันกับธนาคารระดับโลก ที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน เป็นภารกิจ ที่มีพันธะกับผู้ถือหุ้นอย่างมากทีเดียว ซึ่งวันนี้มิใช่ของตระกูลล่ำซำ เท่านั้น โดยที่เขาไม่มีความสนใจ ที่จะเป็นนักการเมืองในขณะนี้เลย