หากเป็นช่วงทศวรรษที่แล้ว ปริญญา MBA อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้คนกาวขึ้นสู่
การมีหน้าที่การงานและเงินเดือนสูง แต่สำหรับบริบทปัจจุบัน business school
แต่ละแห่ง
กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ และ MBA อาจเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ไม่มีความสำคัญมากนัก
การเติบโตขึ้นของธุรกิจ dot com ในช่วงที่ผ่านมา สร้างผลสะเทือนต่อสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ตำรา เรียนจำนวนไม่น้อยถูกเบียดตกชั้น จำนวนผู้ประสงค์จะสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับ
MBA ที่มหาวิทยาลัย Standford และมหาวิทยาลัย แห่งแคลิฟอร์เนีย Berkeley
ซึ่งล้วนแต่เป็นที่มั่นของธุรกิจ dot com ลดลงมากกว่า 20% นับตั้งแต่ปี 1998
เป็นต้นมา
ขณะที่การสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจชั้นนำ 25 แห่งก็อยู่ในระดับที่ลดลงกว่าร้อยละ
7 ในช่วงปีที่ผ่านมา
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้วิทยาลัยธุรกิจ
(Business School) แต่ละสำนักจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ใหม่
ซึ่งกรณีดังกล่าว ดำเนินไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น แม้มหาวิทยาลัย ชั้นนำระดับโลกทั้ง
Harvard และ Standford ซึ่งต่างเคยเป็นที่หมายปองของนักศึกษามาอย่างเนิ่นนาน
ก็เผชิญกับการท้าทายใหม่ๆ เช่นกัน
แม้ว่ามหาวิทยาลัยบนฝั่งฟากของ ภาคพื้นยุโรปจะมีขนาดเล็ก แต่นักศึกษา จำนวนไม่น้อยได้เพิ่มความสนใจที่จะศึกษา
ในวิทยาลัยบริหารธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น และ กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดแนวโน้ม
ใหม่ในตลาดการศึกษา MBA ในปัจจุบัน
ประการแรก นักศึกษาระดับหัวกะทิ ที่มุ่งหมายจะเรียนในหลักสูตรเต็มเวลา
สนใจ ที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรนานาชาติ และแสวง หาประสบการณ์ในระดับโลกมากขึ้น
ประการ ที่สอง หลักสูตร MBA แบบเต็มเวลา 2 ปี ซึ่ง เป็นรูปแบบที่มีรากฐานมาจากสหรัฐอเมริกา
และเป็นที่นิยมมากในช่วงที่ผ่านมา กำลัง ถูกแทนที่ด้วยหลักสูตรเข้มข้น 1
ปี ซึ่งเป็น รูปแบบที่พัฒนาขึ้นในยุโรป
การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลน ติก จากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาศึกษาต่อใน B-school
ของยุโรป กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น INSEAD ในฝรั่งเศส หรือ
IMD ในสวิตเซอร์แลนด์ ต่างมีผู้สมัครจากสหรัฐ อเมริกาเข้ามาเป็นสัดส่วนที่มากเป็นประวัติ
การณ์ ขณะที่การจัดหลักสูตรดูงานและทัศนศึกษาในยุโรป โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจ
จากสหรัฐอเมริกา ก็เกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มความ ต้องการของนักศึกษาในอีกมิติหนึ่ง
การปรับตัวของมหาวิทยาลัยด้านการบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ที่เป็นรูปธรรมประการหนึ่ง
อยู่ที่ความพยายามในการขยายเครือข่ายไปยังภูมิภาคอื่น ทั้งการเปิดวิทยาเขตในย่านเอเชียแปซิฟิก
และการผสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในยุโรป เพื่อแลกเปลี่ยนหลักสูตรและนักศึกษา
อาจารย์ ให้สามารถเรียนรู้กระบวนการโลกา ภิวัฒน์ของธุรกิจได้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ การขยายตัวของเทคโน โลยีสารสนเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่น้อยต่อรูปแบบการเรียนการสอนในระดับ
MBA วิชาพื้นฐานจำนวนไม่น้อยได้รับการบรรจุให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จากระบบการเรียนทางไกล
แต่ดูเหมือนว่าช่องทางดังกล่าวจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำยิ่งขึ้นไปอีก
ขณะที่วิทยาลัยระดับรองๆ ยังไม่สามารถแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้มากนัก
กระนั้นก็ดี Landis Gabel ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA ของ INSEAD เชื่อว่า
ประโยชน์ของหลักสูตรออนไลน์ เป็นเพียงการ ลดภาระสำหรับการเรียนวิชาพื้นฐาน
และทำให้หลักสูตร 1 ปีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น "แต่สิ่งที่ศิษย์เก่าแต่ละรายกล่าวถึงในงานชุมนุม
มิได้เกี่ยวกับความรู้ที่ได้จากวิชาการตลาดหรือวิชาการเงิน หรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์ผู้สอน
สิ่งที่พวกเขาพูดถึงคือประสบ การณ์ที่วิทยาลัยได้ให้ และเครือข่ายที่กว้างขวาง"
ประเด็นดังกล่าวได้รับการเน้นย้ำโดย ผู้บริหารหลักสูตร MBA ในเกือบทุกสถาบัน
Robert Hamada อดีตคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยชิคาโก
กล่าว ไว้ครั้งหนึ่งว่า การฝึกงานภาคฤดูร้อนในหลัก สูตร MBA กลายเป็นประสบการณ์แห่งชีวิต
"ลองคิดดูว่าจะมีโอกาสใดอีกที่วาณิชธนกร ชั้นนำ 15 คนมาบรรยายและสัมภาษณ์คุณ"
ขณะที่ Kim Clark คณบดีจาก Ha-vard ย้ำว่า นักศึกษาที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ชั้นนำ ก็คือผู้คนที่มุ่งหมายจะแสวงโอกาส ในการสร้างพื้นฐานและความสัมพันธ์
ซึ่งจะ เกื้อหนุนให้พวกเขาสามารถกระทำสิ่งที่น่า จดจำในช่วงชีวิต
สิ่งที่ผู้บริหารวิทยาลัยธุรกิจเหล่านี้ กล่าวถึง กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการ
พิจารณาอันดับวิทยาลัยธุรกิจของสำนักต่างๆ ที่มุ่งประเมินไปที่รายได้และโอกาสในการได้
รับการจ้างงานในตำแหน่งสูงๆ ของบรรดา ศิษย์เก่าทั้งหลาย ซึ่งสอดคล้องกับแรง
ปรารถนาของผู้คนที่สนใจเรียน MBA ที่ต่าง ให้ความสนใจกับจำนวนเม็ดเงินที่จะได้กลับ
คืนจากการลงทุนเรียน MBA ของพวกเขา
ในการจัดอันดับของ Financial Time ซึ่งกระทำโดยการออกแบบสอบถามถึงศิษย์เก่าจากวิทยาลัยบริหารธุรกิจทั่วโลกรวม
137 แห่ง จำนวน 20,700 ชุดและมีผู้ตอบกลับมารวม 5,918 ชุด หรือคิดเป็นสัดส่วนการตอบรับที่
28.6% นั้น ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเงินเดือน และการจ้างงานมีน้ำหนักมากถึง
55% ของการประเมินข้อมูลทั้งหมด
ขณะที่ผลงานวิจัยมิติระหว่างประเทศ และกรณีว่าด้วยสถานภาพสตรีในคณะกรรมการบริหารของวิทยาลัย
และจำนวนนักศึกษาสตรี เป็นส่วนเสริมสำหรับการประเมินความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการ
และการตอบสนองต่อสถานการณ์ระดับโลกด้วย
สำหรับการจัดอันดับวิทยาลัยธุรกิจ ที่กระทำโดย US News ซึ่งมีจุดเน้นอยู่ที่สถาบัน
การศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักนั้น ให้น้ำหนักกับชื่อเสียงและหลักสูตรของ
สถาบันแต่ละแห่ง โดยมีน้ำหนักการพิจารณา 40% ขณะที่อัตราเงินเดือนหลังสำเร็จการ
ศึกษาและการจ้างงานมีสัดส่วน 35% สำหรับ อีก 25% เป็นการประเมินจากสัดส่วนคะแนน
GMAT และ GPA ของผู้สมัครเข้าเรียนควบคู่ กับสัดส่วนการแข่งขันของผู้สมัครต่อจำนวน
ที่สถาบันแต่ละแห่งสามารถรับได้เป็นเกณฑ์การประเมิน
แม้ว่า Financial Time และ US News จะกำหนดวิธีและปัจจัยในการจัดอันดับแตก
ต่างกันพอสมควร แต่ข้อน่าสังเกตที่มีความน่าสนใจมากประการหนึ่ง ก็คือวิทยาลัยธุรกิจ
ที่เป็นกลุ่มนำในลำดับที่ 1-10 นั้นมีความแตก ต่างกันน้อยมาก และหากพิจารณาย้อนหลังกลับไปก็พบว่า
วิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้สามารถ รักษาสถานภาพในการจัดอันดับดังกล่าวนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
โดยมีการเปลี่ยนแปลง น้อยมากเช่นกัน
มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ยังคงสามารถยึดกุมอันดับ 1-5 ของวิทยาลัย
ธุรกิจชั้นนำของโลกไว้ได้อย่างมั่นคง โดย INSEAD และ London Business School
สถาบัน การศึกษาจากยุโรปมีอันดับดีที่สุดเพียงอันดับที่ 7 และ 8 เท่านั้น
หากประเมินเพียงผิวเผิน อันดับที่ใกล้เคียงกันของสถาบันแต่ละแห่งอาจปราศ
จากนัยสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดจะพบว่า การก้าวสู่อันดับหนึ่งของ
Wharton เกิดขึ้นจากองค์ประกอบที่น่าสนใจ สองประการ กล่าวคือการมีนักศึกษานานา
ชาติเพิ่มขึ้นกว่า 46% ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความร่วมมือกับ
INSEAD และการขยายวิทยาเขตไปยัง San Francisco และการขยายหลักสูตรบริหารธุรกิจไปสู่ระดับปริญญาเอก
โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับนี้ถึง 39 ราย ขณะที่ Harvard มีเพียง 9 รายเท่านั้น
นอกเหนือจากการจัดอันดับวิทยาลัย ธุรกิจดังกล่าวแล้ว จุดน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับแวดวงการศึกษาระดับ
MBA อยู่ที่แนวโน้มของการหดตัวลงในจำนวนผู้สมัครเข้าเรียน ซึ่งจากการวิจัยของ
General Management Admissions Council ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า 46% ของวิทยาลัยธุรกิจทั่วโลกมี
ผู้สมัครเข้าเรียนในหลักสูตรเต็มเวลาลดลง
แต่นั่นย่อมมิได้หมายถึงการสิ้นสุดลงของหลักสูตร MBA แต่อย่างใด
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มิได้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความตระหนักรู้ของผู้บริหารหลักสูตรหรือสถานศึกษา
หลักสูตรใหม่ๆ ถูกเร่งผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลักสูตร MBA สำหรับผู้บริหารหรือ
execu-tive MBA ที่มีอัตราค่าเรียนที่สูงมากในระดับ 1 แสนเหรียญสหรัฐ
แนวโน้มของการผนึกผสานความร่วม มือของมหาวิทยาลัยที่อยู่ต่างภูมิภาคควบคู่กับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ
ส่งผลให้หลักสูตร Global Executive MBA ได้รับการเสนอเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้นและ
กำลังทำให้ตลาดการศึกษาสำหรับผู้บริหารมีสัดส่วนและน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาอยู่ที่ว่า นับจากนี้สถานศึกษาแต่ละแห่งจะผลักดันหลักสูตร MBA ลักษณะ
ใดออกมาเป็นสินค้าตัวใหม่อีก