ธรรมชาติการขยายกิจการทางด้านการเงิน
ของบรรษัทข้ามชาติมักเป็นข่าวครึกโครม
แต่การบริหารงานของกลุ่มจีอี แคปปิตอล
กลับวางแผนอย่างเชี่ยวชาญให้ได้มาซึ่งพันธมิตร
ในภูมิภาคเอเชียปราศจากการประชาสัมพันธ์
ชื่อจีอี แคปปิตอล (GE Capital) แขน ขาธุรกิจบริการทางการเงินของเจเนอรัล
อิเลคทริค (GE) ซึ่งมีอำนาจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน
และธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในเอเชีย
แม้ว่าสถานะของจีอี แคปปิตอลที่เป็น non-banking แต่ประสบความสำเร็จในการสร้างและได้มาซึ่งการถือครองธุรกิจการเงินทั่วภูมิภาคนี้
และความคล่องแคล่วของการทำงาน บางทีอาจจะสมบูรณ์แบบมากกว่าธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นบางแห่ง
กลยุทธ์ของบริษัทเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับธนาคารพาณิชย์ แม้ในยามนี้ธนาคาร
ไม่ต้องการปล่อยสินเชื่อลูกค้าแบบนี้มาก เพราะอัตราเสี่ยงสูงและยังต้องกันเงินสำรอง
ด้วย แต่ในอนาคตซึ่งการแข่งขันในกิจการบริการทางการเงินมีสูงมาก เพราะธนาคารต่างชาติที่ซื้อกิจการธนาคารพาณิชย์ไทยต่าง
ตระเตรียมขยายบริการเข้าสู่ฐานลูกค้ากลุ่มนี้ที่ได้จากธนาคารไทย กลยุทธ์ของ
จีอีเท่ากับแข่งกับธนาคารพาณิชย์กลุ่มนี้โดยตรง
จีอี แคปปิตอลในความแตกต่างใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางความคิดทางการเงิน
เพื่อลงทุนในการให้บริการทางการเงิน โดยเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือประเทศในภูมิภาคเอเชียนับตั้งแต่กลางทศวรรษที่
90 ในรูปแบบการร่วมลงทุนเป็นสำคัญซึ่งกินบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ญี่ปุ่นลงไปจนถึงออสเตรเลีย
ปี 1997 บริษัทเริ่มต้นด้วยการเสาะแสวงหาเป้าหมายในการเข้าซื้อธุรกิจด้วยการ
ใช้เงินน้อย แต่มีประสิทธิภาพการทำกำไรใน ธุรกิจบริการทางการเงิน อาทิ ลิสซิ่ง
ประกัน ชีวิต และสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
ปัจจุบันหากไม่รวมญี่ปุ่น จีอี แคปปิ ตอลมีทรัพย์สินและสิ่งที่พึงได้รับมีรวมกันสูง
ถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจไม่เคยอยู่เฉยบนความพึงพอใจกับความสำเร็จ
"เป้าหมายของพวกเราต้องการสร้างความเติบโตอีกเท่าตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า"
สตีฟ เบอร์ทามินี ประธานจีอี แคปปิตอล แห่งเอเชียบอก
เบอร์ทามินีเป็นผู้เชี่ยวชาญและรับผิดชอบงานด้านการควบรวมกิจการในภูมิภาคแห่งนี้
ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีใต ้ และอินเดีย ภารกิจของเขา คือ การมองหาพันธมิตรที่ดี
นี่คือคุณลักษณะโดดเด่นของจีอี แคป ปิตอล ดังเช่นในกรณีช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ปี 1997-1998 เข้ามาให้บริการสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ในประเทศไทย จากการชนะการประมูลสินเชื่อรถยนต์ของ
ปรส. (องค์การเพื่อ การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน) โดยมีมูลค่า บัญชี 43,200
ล้านบาท ที่สำคัญยังลงหลักปักฐานให้แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อเครื่องบินพาณิชย์ในประเทศจีน
บริบทความยิ่งใหญ่ของจีอี แคปปิ ตอลในเอเชีย ได้ปล่อยเงินออกไป 1 พันล้านเหรียญสหรัฐกับสินเชื่อผู้บริโภคในอินเดีย
และจ่ายเงินเพื่อซื้อกิจการทางการเงินและประกันภัยในญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า
30 พันล้านเหรียญสหรัฐ
หากพิจารณาถึงขนาด ตามปกติของบริษัทแห่งนี้แล้ว มักจะกล่าวถึงสินทรัพย
์ซึ่งจะต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ไป จนถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
หรือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
"พวกเราไม่มีจุดมุ่งหมายการเข้าร่วม ทำงานกับสิ่งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ"
เบอร์ทามินีชี้ "บริษัทต้องการขนาด เพราะเป็น เรื่องของงบการเงินที่จะเป็นเครื่องยืนยันต่อ
ความพยายามในการลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งตลาด"
ความสำคัญและความคาดหวังกับตลาดเอเชียของจีอี แคปปิตอล ก็คือ เป็นพลัง
ขับเคลื่อนให้เติบใหญ่บนตลาดโลกในอนาคต รวมถึงตลาดเมืองจีน "พวกเรามีผลประกอบ
การดีเยี่ยมจากฐานธุรกิจที่มีศักยภาพ"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่นับญี่ปุ่นและ ออสเตรเลีย จีอี แคปปิตอลในเมืองไทยสามารถทำรายได้เป็นอันดับ
1 ในภูมิภาคนี้แม้ว่าจำนวนตัวเลขจะไม่เป็นที่เปิดเผยก็ตาม เพราะเป้าหมายของจีอี
แคปปิตอลในไทยอยู่ที่การสร้างธุรกิจให้เป็นธุรกิจระดับโลก ให้ เป็นบริษัทที่มีฐานะเทียบเท่าหรือเหนือกว่าบริษัทที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก
คำพูดของจอห์น เอฟ.เวลช์ แห่งเจเนอรัล อิเลคทริค เมื่อครั้งเดินทางมาเยือนประเทศไทย
บอกว่าแนวทางที่บริษัทใช้ในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ให้คิดในขอบข่ายโลกและกระทำในชุมชนท้องถิ่น
(think glo-bally, act locally)
"ผมปรารถนาที่จะให้ไทยมองเห็นผมเป็นชาวอเมริกัน ที่อยากจะเป็นหุ้นส่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย"
ตีความง่ายๆ ก็คือ เขาเห็นประเทศไทยมีความหมายสำหรับ จีอี แคปปิตอลเป็นอย่างยิ่ง
เครื่องหมายการค้าของบริษัท คือ การเข้าไปซื้อกิจการและดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง
นั่นหมายถึงการสร้างรายได้แล้วนำกลับสู่บริษัทแม่และโอกาสการทำธุรกิจใหม่
"บางเวลายังเข้าไปร่วมลงทุนกับสถาบันอื่นๆ" เบอร์ทามินีบอก "บางกรณีหากมีโอกาสเพียงพอ
พวกเราจะเข้าไปให้บริการจากศักยภาพด้วยตัวเอง"
ดังนั้นโดยหลักการพื้นฐานแล้ว จีอี แคปปิตอล จึงมีความยืดหยุ่นอย่างมากบนพื้นที่ที่มองเห็นว่าเป็นกุญแจสำคัญต่อโอกาส
การเติบโตบนตลาดบริการทางการเงินในประเทศแถบเอเชีย
อะไรก็ตามที่เป็นไปได้ในความแตกต่างจากสถานะผู้เล่นต่างชาติ จีอี แคปปิตอล
จะพยายามหลีกเลี่ยงด้วยการใช้วิธีการและทำงานร่วมกับกิจการท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือให้เกิดความแข็งแกร่งแทนที่จะเข้ามาสร้างธุรกิจแบบปะทะกันซึ่งๆ
หน้า
"พวกเราจะเชื่อมประสิทธิภาพ กระบวนการและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อความสำเร็จในตลาดท้องถิ่น"
ยกตัวอย่างเช่นบริษัทอาจจะตัดสินใจเข้าไปลงทุนกับสถาบันการเงินและธนาคาร
พาณิชย์โดยยินยอมร่วมมือกันเพื่อดำเนินธุรกิจผ่านเครือข่ายของพันมิตรในธุรกิจเครดิตการ์ด
หรือสินเชื่อ
อีกทั้งอาจจะใช้แขนขาตัวเอง คือ Strategy Equity Division เข้าถือหุ้นน้อยในธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งหากเห็นว่าเป็นการผนึกกิจการที่ดี
หากพูดถึงผลประกอบการของจีอี แคปปิตอล ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า 80% มาจากสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
บังเอิญบริษัทได้พันธมิตรเข้ามาดีซึ่งก็คือวิธีหาลูกค้าวิธีหนึ่งด้วย และการนำโปรแกรมการปล่อยสินเชื่อจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในเอเชีย
รวมถึงประเทศไทยจึงไปได้ดี
"บางครั้งการดำเนินธุรกิจที่นี่มีความ แตกต่างไปจากสิ่งที่ทำในสหรัฐอเมริกา
ที่นั่นมีธุรกิจที่พวกเราทำไม่ประสบความสำเร็จแทบจะไม่ค่อยมี" เบอร์ทามินีกล่าว
"ในเอเชียบริษัทจะต้องคอยดูแลทั้งธุรกิจตัวเองและคู่ค้าไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทำได้ดีในญี่ปุ่น
และออสเตรเลีย"
ช่วงปีที่ผ่านมาจีอี แคปปิตอลในเอเชียมีบทเรียนบทเล็กๆ สำหรับการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
ข้อแรก บริษัทได้ศึกษามานานกว่าปีว่าจะไม่ดำเนินธุรกิจแบบใช้กระบวนความคิดเพียงลำพัง
"เป็นครั้งแรกที่ไตร่ตรองถึงเป้าหมายด้วยตนเองหรือไม่สามารถทำงานได้ นับตั้งแต่ที่กลั่นกรองในรูปแบบของเรา
ดังนั้นจึงมีความเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นอยู่กับการเข้า สู่ธุรกิจ" เบอร์ทามินีอธิบาย
เมื่อพิจารณาถึงการเข้ามาสู่ลักษณะการปฏิบัติงาน หมายถึงความสำคัญที่บริษัท
มีความสามารถในการตัดสินใจดำเนินธุรกิจ "เมื่อเข้าทำงานจะต้องเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง"
อย่างไรก็ดี จีอี แคปปิตอลจะพิจารณา ในเงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและโครงสร้างว่า
ถึงเวลาเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจเพื่อให้ได้มาซึ่งมูลค่าที่สมเหตุสมผล
สำหรับการประเมินการลงทุนในเอเชีย เบอร์ทามินีเห็นว่ามูลค่าที่ปลอดภัย
คือ การมีพันธมิตรกับท้องถิ่น เนื่องจากผู้ประกอบ การเหล่านั้นมีฐานลูกค้าพร้อมกับการขยายธุรกิจที่แน่นอน
ซึ่งจีอี แคปปิตอลมีการพัฒนา กลยุทธ์เข้าสู่ธุรกิจบนประสบการณ์ของตัวเอง
อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องกลับมาทบทวน ความคิดเสียก่อน "ถ้าพวกเราไม่สามารถประเมินบริษัทได้อย่างเหมาะสม
บางทีก็ตัดสินใจไม่เข้าไปลงทุนเลย"
หากจีอี แคปปิตอลเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ คงไม่สามารถคิดถึงประเด็นเหล่านี้ได้
และคงไม่มีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ปัจจุบันบริษัทจึงพยายามที่จะดูว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างที่จะผลักดันให้ก้าวต่อไปได้
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญเรื่องบุคลากร เพราะความคิดและแนวทางทำธุรกิจนั้น
เกิดมาจากไอเดียของคน โดยเฉพาะ การทำธุรกิจในแต่ละท้องถิ่นนั้น คนท้องถิ่นจะรู้ดีที่สุด
"ความแตกต่างของจีอีกับบริษัทอื่นคือ เวลาที่เราเรียนในโรงเรียนธุรกิจนั้น
ต้องมีแผนการและดำเนินการ แต่สำหรับพวก เรานั้นเริ่มที่คนอเมริกัน 2 คน ไม่สามารถมา
นั่งคิดแผนการอะไรที่เหมาะสมและถูกต้อง แก่ประเทศไทยได้ ต้องเป็นคนไทย 2
คนต่างหาก ซึ่งในเมืองไทยนี้เราได้พบได้ฝึกขึ้นมาแล้ว ผมเชื่อว่าคนมีความสำคัญที่สุด
นั่นคือ วิญญาณของจีอี ไม่ใช่แผนการ" แจ๊กเวลช์กล่าว
เขาอธิบายอีกว่า บริษัทมองว่าตำแหน่งงานเป็นเครื่องมือหรือกลไก จีอีเป็น
ผู้ที่ถือกระป๋องน้ำในมือหนึ่ง ขณะที่มืออีก ข้างถือถุงปุ๋ย "เราทำการรดน้ำลงไปยังต้นไม้
ซึ่งก็คือบุคลากรในองค์กรของเรา ใส่ปุ๋ยลงไป งานของเราคือหล่อเลี้ยงให้ต้นไม้เหล่านี้เติบโตได้ตามความฝันของพวกเขา
พนักงาน กว่า 2,000 คนของเรา มีโอกาสเติบโตภายใต้ การดูแลรับผิดชอบของเรา
และอาจจะงอก เงยขึ้นมาเป็น 5,000 หรือ 10,000 คน นี่คือแนวทางของเรา"
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจีอี แคปปิตอลได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการขยายตัวเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย
โดยอาศัยความโชคร้ายของผู้ประกอบการที่ได้รับ บาดเจ็บจากวิกฤติเศรษฐกิจ
"แน่นอนว่าวิกฤติเศรษฐกิจเปิดโอกาสให้พวกเรา แต่หากปราศจากสถาน การณ์ที่ว่าแล้ว
คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะไม่เป็นเช่นปัจจุบันถึงแม้โอกาสจะยังคงมีอยู่ก็ตาม"
เบอร์ทามินีบอก
ปัจจุบันบริษัทไม่อยากให้ภาพออกมา สู่สาธารณะในเชิงที่ว่ามีการขยายกิจการไปกี่บริษัทแล้ว
แต่น่าจะออกมาในลักษณะที่ว่า ตอนนี้มีการจ้างงานท้องถิ่นไปกี่ตำแหน่งแล้ว
และจะจ้างเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร ที่สำคัญบริษัทช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในแถบนี้อย่างไร
หากพิจารณาถึงสถิติของจีอี แคปปิ ตอลในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้เข้าซื้อธุรกิจในประเทศแถบเอเชียเฉลี่ยแล้วมากกว่า
100 ธุรกิจ จากนั้นก็ผสมผสานอุตสาห กรรมให้เข้ากับสถานการณ์ของโลก ซึ่งเนื้อหามีความเหมาะสมกับการเข้าสู่ตลาด
หรือไม่ก็เห็นศักยภาพในระยะยาว โดยพึ่งพาอาศัยตลาดจากประเทศเหล่านั้น
บริษัทยังมีแนวคิดจากความรู้สึกการดำเนินงานและถ้ารู้สึกว่า ไม่มีแรงดึงดูดด้านผลตอบแทนระยะยาวเมื่อเทียบกับความพยายามไม่มีทางที่เข้าไปเสี่ยง
"ไม่มีความลำบากสำหรับการตัดสินใจหากความเสี่ยงและผลตอบแทนไม่มีความ สมดุล"
วิกฤติทางเศรษฐกิจของเอเชียได้เปิด โอกาสให้บริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำของโลก
เข้ามาสร้างธุรกิจแสวงหาผลกำไรกันอย่างมโหฬาร แน่นอนบริษัทต่างชาติย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการท้องถิ่นในทุกๆ
ทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานการเงิน เทคโนโลยี หรือ บุคลากร
วิกฤติครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญในแง่ที่จีอี แคปปิตอลสามารถกุมธุรกิจสำคัญในภูมิภาคนี้ได้สำเร็จแล้ว
ประวัติศาสตร์ของจีอี แคปปิตอล คือ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมภายใต้แรงกดดันจากสังคมเศรษฐกิจ
และการเมือง โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่เกิดความตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี
1933 ในธุรกิจการเงินเพื่อเข้าช่วยเหลือสินเชื่อผู้บริโภคให้กับ GE Appliances
และ GE Credit
จากนั้นบริษัทได้แสวงหาหนทางในการดำเนินธุรกิจ เมื่อ George Mosher ผู้
ก่อตั้งและประธานของ GE Contracts Corporation แนะนำให้จัดตั้งบริษัททางด้านการเงินขึ้นมาเพื่อให้สินเชื่อแก่ลูกค้า
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อจีอีเปลี่ยนการดำเนินงานจากการให้บริการลูกค้าสู่การผลิต
พวกเขาก็ทำการเปลี่ยนชื่อไปเป็น GE Credit Corporation และกลายเป็นบริษัทลงทุนไปจนถึงให้กู้เงินและลงทุนในตราสารทางการเงิน
ในปี 1959 เป็นช่วงเดียวกับความต้องการทางด้านสินเชื่อเติบโตอย่างมาก จน
บริษัทมีผลประกอบการ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ การประสบความสำเร็จอย่างงดงามเกิดจากความยืดหยุ่นของการบริหารงานและเข้าใจตลาด
ผ่านเข้าสู่ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มมีประสบการณ์ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการขยาย
ฐานและแยกธุรกิจออกจากกันถึง 20 ประเภท และในปี 1987 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
GE Capi-tal จนถึงปัจจุบัน
ปีที่ผ่านมา จีอี แคปปิตอลมีรายได้ 54,267 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรสุทธิ 4,289
ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสินทรัพย์รวม 332,636 ล้านเหรียญสหรัฐ