|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอสแอนด์พีปรับอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของไทยจาก BBB เป็น BBB+ พร้อมแนะเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ภาครัฐและเอกชนให้เร็วขึ้น "สมคิด" คุยความเชื่อมั่นเพิ่ม วินัยและฐานะทางการคลังกับทุนสำรองแข็งแกร่ง ชี้ปรับอันดับเครดิตถูกจังหวะไทยโรดโชว์ต่างชาติ เชื่อปีหน้าการลงทุนจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ต้องคุมเงินเฟ้อ ยันทำงบสมดุลปี 48 เผยคลังเตรียมออกตราสารหนี้ระยะสั้นรีไฟแนนซ์เงินกู้ธนาคารโลก 500 ล้านดอลลาร์ ลุ้นมูดี้ส์ขยับขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ตลาดหุ้นเด้งรับข่าวดี
กรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับเพิ่มระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของไทย ขึ้น 1 ระดับ จาก BBB เป็น BBB+ เมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เอสแอนด์พีได้ให้เหตุผลว่าประเทศไทยมีฐานะทางการคลังที่แข็งแกร่ง มีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มั่นคง ประเด็นสำคัญยังมีการบริหารงบประมาณที่ดี และมีวินัยทางการคลัง แม้ว่าในช่วงนี้จะมีข่าวต่างๆ ในเชิงลบ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงก็ตาม
สำหรับประเด็นที่เอสแอนด์พีแนะนำคือ ให้ประเทศไทยเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และเพื่อสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ แต่เรื่องนี้รัฐบาลถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญมานานแล้ว
"การปรับเรตติ้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเอสแอนด์พีมีความมั่นใจในเศรษฐกิจไทย ดังนั้น คนไทยเองต้องเชื่อมั่นด้วย เพราะถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเองก็ยากที่คนอื่นจะมาเชื่อมั่น ขออย่าวิตกกังวลกับข่าวต่างๆ มากเกินไป ข่าวอะไรที่ยังไม่ยุติ ต้องให้จบโดยเร็วที่สุด"
นายสมคิดกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ประเทศไทย ในช่วงที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ถือว่ามีความหมายมาก เนื่องจากมีผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศด้วย เพราะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนมากขึ้น ซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 400,000 ล้านบาทในขณะนี้ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น การที่มีข่าวลือเล็กน้อยๆ อาจทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสได้ โดยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงดีอยู่ ในปี 2548 เชื่อว่าจะมีปัจจัยการลงทุนเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ขณะที่การส่งออกยังมีบทบาทสำคัญอยู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องควบคุมให้ดี คือในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งจะต้องทำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพยายามไม่ให้เศรษฐกิจโตเร็วเกินไป คิดว่าอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม คือ อยู่ในระดับ 3% กว่า กรณีดังกล่าวคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มอบหมายให้ กระทรวงพาณิชย์ไปดูแลในเรื่องของราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
สำหรับการทำงบประมาณสมดุลในปี 2548 นั้น นายสมคิดมองว่าการทำงบประมาณเป็นเพียงกลไก หลักที่จัดไว้ให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาประเมินว่าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันสามารถทำงบประมาณสมดุลได้ หากไม่สามารถทำได้ก็ไม่เป็นไร แต่ขณะนี้ยังคงยืนยันที่จะให้เกิดงบประมาณแบบสมดุลให้ได้ เพราะการทำงบสมดุลบ่งบอกว่าไทยมีวินัยทางการคลังและมีฐานะ ทางการคลังที่ดี
โดยเงินคงคลังเบื้องต้น ณ สิ้นมิ.ย. 92,934 ล้านบาท ส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ณ 13 ส.ค. อยู่ที่ 44.1 พันล้านดอลลาร์
นายสมคิดเปิดเผยว่า สิ้นเดือนนี้จะเดินทางไป ประชุมเอเปกที่ประเทศชิลี หลังจากนั้นมีการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ก่อนเดินทางไปโรดโชว์ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ เพื่อแสดงศักยภาพให้โลกได้เห็นพัฒนาการของประเทศในอาเซียนว่ามีความน่าลงทุน มากเพียงใด หลังจากนั้นจะมีการประชุมธนาคารโลก
"การโรดโชว์ที่นิวยอร์ก เป็นแนวคิดที่กลุ่มประเทศอาเซียนต้องการให้มีการจัดโรดโชว์ของอาเซียน ซึ่งผมจะขึ้นกล่าวในฐานะที่เป็นตัวแทนของอาเซียน โดยจะพูดหัวข้ออนาคตของอาเซียนให้ทั่วโลกได้เห็นถึงพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของอาเซียน เพื่อให้เห็นว่าน่าลงทุนอย่างไร
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การปรับอันดับความน่าเชื่อให้ไทยของเอสแอนด์พีในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 5 แล้ว และถือเป็นการปรับครั้งที่ 2 นับตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ โดยระดับ BBB+ จะเท่า กับการระดับ Baa1 ของมูส์ดี้ส์(ดูตารางประกอบ) และภายในเดือนตุลาคมนี้กระทรวงการคลังจะออกตราสารหนี้ระยะสั้น (ECP) เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้จาก ธนาคารโลก 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่กำลังจะครบกำหนดเร็วๆ นี้ ซึ่งต่อไปจะมีการปรับเป็นพันธบัตรระยะยาวในปีงบประมาณ 2548
"ขณะนี้ตลาดตราสารหนี้ของไทยค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไทยได้ออกพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยแบบลอย ตัว (FRN) จำนวน 1,000 ล้านเหรียญไปแล้ว" นางพรรณีกล่าว
ชี้ผลดีกู้นอกดอกลด 0.2-0.3% ลุ้นมูดี้ส์ปรับอันดับเครดิตนำ
นายสุภัค ศิวะรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) กล่าวว่า การปรับอันดับเครดิตของ เอสแอนด์พี แสดงว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง ท่ามกลางวิกฤตน้ำมัน ความเสี่ยงที่ลดลง จะทำให้สถาบันการเงินและบริษัทเอกชนกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ในอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิม โดยคาดว่าดอกเบี้ยน่าจะลดลงอีก 0.2-0.3%
นายเชาว์ เก่งชน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าหากพื้นฐานเศรษฐ-กิจไทยแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่มูดี้ส์สถาบันจัดอันดับที่มีชื่อเสียงอีกแห่งจะปรับเพิ่มอันดับเครดิต นำเอสแอนด์พีมีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ไทยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในการได้รับการปรับอันดับเครดิต
เมื่อปี 2532 ประเทศไทยเคยได้รับอันดับเครดิตประเทศที่ระดับ AAA ทั้งจากเอสแอนด์พีและมูดี้ส์ สำหรับหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิต จะพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ฐานะและวินัยทางการคลัง โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณแบบสมดุลในปี 2548
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นายเชาว์กล่าวว่า ถึงขณะนี้มีโอกาสลดลง แต่เนื่องจากตลาดน้ำมันโลกมีความผันผวนและเปราะบางต่อปัจจัยที่เป็นปัญหาคือความต้องการใช้น้ำมันของโลกและสถานการณ์ก่อการร้าย ทำให้ลดลงไม่มาก
นายเชาว์กล่าวว่า คาดว่าราคาน้ำมันโลกปี 2547 ทั้งปีเฉลี่ยที่ระดับ 37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคา น้ำมันที่สมเหตุสมผลควรจะอยู่ที่ 30-35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดหุ้นคึกคัก-วอลุ่ม 2.2 หมื่นล้าน
ความเคลื่อนไหวราคาหลักทรัพย์วานนี้ (26 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 671.07 จุด เพิ่มขึ้น 9.38 จุด หรือ 1.54% โดยระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 618.04 จุดและต่ำสุดที่ระดับ 611.90 จุด ด้วยมูลค่า การซื้อขายกว่า 22,233.01 ล้านบาท
กลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ก่อสร้างฯ สื่อสาร ธนาคารพาณิชย์ ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,306.28 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 661.80 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,968.08 ล้านบาท
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยง นักวิเคราะห์ บล. ฟิลลิป จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นของ S&P เนื่องจากหากพิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจของไทยยังถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ปัจจัยที่ยังเป็นตัวกำหนดตลาดหุ้นไทยพร้อมตลาดหุ้นทั่วโลก ยังเป็นเรื่องราคาน้ำมัน แม้ว่าจะมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่หลายฝ่ายยังกังวลต่อการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตลดลง และราคาน้ำมันอาจจะปรับสูงขึ้นได้อีกครั้ง
"เชื่อว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวันนี้น่าจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ได้ แต่ทั้งนี้ต้องดูราคาน้ำมันและความเคลื่อนไหวของราคา หุ้นในฝั่งอเมริกาเป็นหลักด้วย" นางสาวธีรดากล่าว
วานนี้ เอสแอนด์พียังเพิ่มอันดับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัทปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) จากระดับ BBB เป็น BBB+ มีมุมมองเป็นเสถียรภาพ พร้อมทั้งยืนยันอันดับ A- ของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศระยะยาวของ EGAT และ PTT และยังยืนยันอันดับ BBB+ ของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศระยะยาวของ PTTEP แต่ปรับมุมมองจาก บวกเป็นมีเสถียรภาพ
|
|
|
|
|