ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของบริษัทในวงการค้าปลีกช่วงนี้ ค่อนข้างจะคึกคักกันพอสมควร
นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540 ใครจะรวมกับใคร ใครจะขายกิจการให้ใคร ถึงตอนนี้ก็ค่อนข้างจะมีบทสรุปที่เห็นได้ชัดขึ้นทุกที
โดยเฉพาะกลุ่มซีพี ซึ่งมีบทบาทกับธุรกิจนี้ไม่น้อยไปกว่าธุรกิจอื่นๆ ในเครือฯ
ภาพความเป็นเจ้าตลาด การผูกขาดช่องทางการจัดจำหน่าย กำลังจะทำให้บทบาทของซีพีในวงการค้าปลีกยิ่งเด่นชัดขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ในธุรกิจการค้า ใครที่สามารถเป็นผู้คุมช่องทางการตลาดได้มาก คนนั้นก็จะกลายเป็นผู้คุมอำนาจในโลกอนาคต
เพราะทุกวันนี้การผลิตสินค้าใดๆ ก็ตามสามารถทำกันได้ทุกแห่ง ซ้ำยังแย่งกันทำโดยที่จะได้ต้นทุนต่ำสุด
ยุคนี้จึงไม่ใช่ยุคของผู้ผลิตอีกต่อไป
ใครที่ไหวตัวทันในเรื่องดังกล่าว ก็จะหันไปจับช่องทางการตลาด แทนการที่จะมุ่งอยู่แต่แค่ขั้นตอนการผลิตเพียงอย่างเดียว
เช่นเดียวกับบทบาทด้านการค้าปลีกของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่รุดเข้าไปกุมช่องทางการตลาดไว้แล้วเกือบทุกทาง
ตามแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซีพี เกือบจะมีสภาพที่จะกลายเป็นเจ้าตลาดในวงการค้าปลีกเข้าไปทุกที
กลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่ายของซีพี เกิดขึ้นเป็นกลุ่มธุรกิจหนึ่งในเครือฯ
มีนโยบายที่จะดำเนินการพัฒนาช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ประกอบด้วยธุรกิจค้าส่งอย่างแม็คโคร ซึ่งเป็นรูปแบบของศูนย์สรรพสินค้าขายส่ง
ให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกและผู้ซื้อรายใหญ่
แม็คโครโด่งดังมามากกับการเปิดตัวและเติบโตอย่างเร็วเมื่อ 4-5 ปีก่อน จนแม้จะเริ่มมีปัญหากับการหาผู้มาดูแลกิจการ
จนทำให้เกิดแม็คโครเอเชีย ที่มีฐานปฏิบัติงานในไทยคอยดูแลเมื่อต้นปีนี้ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้แม็คโครยืนหยัดมาได้ก็คือ
การมีระบบสมาชิก
กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ซีพีซื้อลิขสิทธิ์เซเว่น-อีเลฟเว่น ที่คนไทยรู้จักกันทั่วประเทศแล้วในฐานะร้านสะดวกซื้อที่บริการตลอด
24 ชั่วโมง จากบริษัทเซ้าท์แลนด์คอร์เปอร์เรชั่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงต้นปีนี้มีสาขารวมเกือบ
900 สาขา
ศูนย์ค้าปลีกโลตัสซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งถือว่าซีพีเป็นผู้นำระบบศูนย์ค้าปลีกแห่งแรกในเมืองไทย
ที่นำระบบดิสเคานท์สโตร์มาใช้ด้วยหลักของวันสต๊อปช้อป และซันนี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต
ภายใต้การบริหารของบริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น จำกัด
รวมถึงการผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคในนาม บริษัทซีพีคอนซูเมอร์โปรดักส์
ที่มีขึ้นเพื่อพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย
ช่องทางการตลาดหลักๆ ที่นิยมในปัจจุบันของเมืองไทย คงจะดูได้จากช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
ซึ่งจะมีด้วยกันอยู่ 6 ช่องทางหลัก แต่ละช่องทางมีปริมาณการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างกันตามความนิยม
ดังนี้
จากสถิติช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2539 มูลค่า 230,000
ล้านบาท มีมูลค่าจากช่องทางการจำหน่ายผ่านทางห้างสรรพสินค้า 80,500 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 35
ผ่านกลุ่ม Traditional Store 71,300 ล้านบาท ร้อยละ 31
ผ่านกลุ่ม Cash & Carry เช่น แม็คโคร ฯลฯ 34,500 ล้านบาท ร้อยละ 15
ผ่านกลุ่มซูเปอร์เซ็นเตอร์ เช่น โลตัส บิ๊กซี ฯลฯ 23,000 ล้านบาท ร้อยละ
10
ผ่านทางซูเปอร์มาร์เก็ต 11,500 ล้านบาท ร้อยละ 5
และคอนวีเนียนสโตร์ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น เอเอ็ม พีเอ็ม ฯลฯ 9,200 ล้านบาท
หรือร้อยละ 4
จากช่องทางการจำหน่ายที่ผู้บริโภคเลือกใช้พบว่า มีอยู่สามช่องทางที่แม้ตัวเลขจะยังไม่จัดกลุ่มอยู่ในอันดับบนสุด
แต่เป็นกลุ่มที่นักการตลาดมองว่ามีแนวโน้มการเติบโตสูงและต่อเนื่อง เพราะเป็นลักษณะของช่องทางการจำหน่ายที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่เกิน
5 ปี
คือ กลุ่มแคชแอนด์แครี่ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และคอนวีเนียนสโตร์ ซึ่งทุกกลุ่มล้วนมีตัวแทนจากค่ายซีพีไปรวมเบียดตัวอยู่ในตลาดในระดับแนวหน้าแทบทั้งสิ้น
สาเหตุที่แนวโน้มการเติบโตของช่องทางการจำหน่ายทั้งสามมีมาก เพราะเป็นรูปแบบการจัดจำหน่ายที่มีค่า
ใช้จ่ายถูกกว่ารูปแบบการค้าปลีกเดิม ๆ ตัวอย่างเช่นดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงถึงประมาณ
30% ในขณะที่กลุ่มแคชแอนด์แครี่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาก คืออยู่ในราว
10% เท่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้วจะเห็นได้ชัดว่า แนวโน้มของรูปแบบทั้งสองแทบจะเดินสวนทางกัน
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมีโอกาสขยายตัวสูง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ค่อยมีการเติบโตเท่าไรเลย
ยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ ก็สังเกตกันได้ไม่ยากว่าบรรดาห้างสรรพสินค้าได้
รับผลกระทบกันมากขนาดไหน ถึงขั้นต้องมีการลดเวลาบริการลง
หรือแม้แต่กลุ่มผู้บริหารดีพาร์ตเมนต์สโตร์ชั้นแนวหน้าของเซ็นทรัล ก็เบนเข็มมาสู่กลุ่มซูเปอร์เซ็นเตอร์ทั้งคาร์ฟูร์
บิ๊กซี มากขึ้นกว่าการขยายดีพาร์ตเมนต์สโตร์ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวล่าสุดในการรวมตัวกับโลตัสของซีพี
ซึ่งคงจะมีข้อสรุปในเร็วๆ นี้
ในขณะที่คอนวีเนียนสโตร์ก็กำลังแทรกซึมเข้าไปในวิถีชีวิตของคนไทยทุกตรอกซอกซอย
โดยเฉพาะเซเว่น-อีเลฟเว่นที่ยังคงมีเป้าขยายสาขาให้ครบ 1,000 แห่งให้ได้ในเร็ววัน
นี้ด้วย
แม้จะมีข่าวเรื่องของการเจรจาซื้อกิจการของแม็คโคร ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของซีพี
ข่าวการจะรวมตัวระหว่างโลตัสและบิ๊กซี ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา ข่าวคราวของเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส
แต่ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่บริหารอาวุโส เครือฯ
กล่าวว่า
โดยรวมแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีเท่าไรนัก
เพราะในช่วงปีที่ผ่านมาการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกของซีพีก็ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เช่น การขยายสาขาของเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่ขายได้ตามเป้าหมายเกือบ 900 สาขาในสิ้นปี
2540 ในส่วนของยอดขายเองก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-6% ต่อสาขา
ขณะที่โลตัสกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้นบิ๊กซี หากการรวมตัวครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมาย
ก็จะทำให้โลตัสและบิ๊กซีซึ่งเป็นคู่แข่งกันมานานผนึกกำลังกันขยายตลาด ซึ่งจะทำให้บทบาทไปตกหนักอยู่กับกลุ่มซัปพลายเออร์ที่จะมีอำนาจต่อรองกับผู้เป็นเจ้าของช่องทางการจำหน่ายน้อยลง ซึ่งเหตุการณ์นี้จะยิ่งตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของผู้คุมช่องทางการตลาดลงไปอีก
ในบรรดาช่องทางการจำหน่ายของซีพีที่ยังคงมีการชะลอตัวอยู่บ้างก็คือ ซันนี่
ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนกับรูปแบบของซูเปอร์ เซ็นเตอร์
ซึ่งก่อศักดิ์กล่าวว่าควรจะแบ่งเขตกันให้ชัดเจนว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตควรอยู่ใจกลางเมือง
เพราะตลาดชานเมืองเป็นของซูเปอร์เซ็นเตอร์
แต่ในความเป็นจริงสาขาของซันนี่ ส่วนใหญ่กลับอยู่ในแถบชานเมืองแทบทั้งสิ้น
ทำให้ต้องชะลอการขยายแฟรนไชส์ออกไป รวมถึงปัญหาด้านการเงินด้วยบางส่วนที่มีผลต่อผู้ซื้อแฟรนไชส์
จากเดิมที่เคยมีแผนจะขยายสาขาของซันนี่อีกกว่า 10 แห่งในปี 2540 จึงต้องพับไว้ก่อน
มาสรุปเพียงมีแนวโน้มที่จะขยายเพิ่มประมาณ 5 สาขา ในปีนี้ ทั้งที่บริษัทขยายเองและในรูปของการขายแฟรนไชส์
ทั้งนี้สำหรับซันนี่ แม้จะมีการปรับแผนชะลอการลงทุน ก็ยังต้องใช้เวลาในการเติบโต
ซึ่งความหวังในการเติบโตนี้ ก่อศักดิ์กล่าวว่า หลังจากการเติบโตของสาขาใหม่
ซึ่งจะเปิดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 6 สาขาที่มีอยู่เดิม เพราะจะเปิดกลางใจเมืองย่านสุขุมวิท
และสำหรับ 6 สาขาเอง ก็ยังมีการปรับปรุงในด้านต่างๆ อยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับสินค้าและราคาให้เข้ากับทำเล
และการปรับปรุงระบบการขายเพื่อให้ความสะดวกในการจับจ่ายสินค้าของผู้ซื้อ
ก่อศักดิ์กล่าวว่า สาเหตุที่การเติบโตของซูเปอร์มาร์เก็ตยังต้องใช้เวลา
ไม่เหมือนกับคอนวีเนียน์สโตร์ อย่างเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่วางใจได้ในเรื่องยอดขายและการเติบโต
ก็คือเรื่องของกำไรซึ่งซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอยู่ตอนนี้ยังมีกำไรค่อนข้างต่ำ
เมื่อเทียบกับต่างประเทศซึ่งมีกำไรกว่า 20% แต่เรามีเพียง 10% กว่า
แต่ทั้งนี้ก่อศักดิ์เชื่อว่าแนวโน้มในอนาคตของซูเปอร์มาร์เก็ต จะมีอัตรากำไรสูงขึ้นอย่างน้อยก็ถึง
20% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เพราะปัจจุบันคนไทยเองก็เริ่มเห็นซูเปอร์มาร์เก็ตแยกตัวออกจากห้างสรรพสินค้ามากขึ้น
ทำให้สินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตไม่กลายเป็นตัวลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าเหมือนที่เคยเป็น
หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็มักจะยกเว้นส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตออกจากโปรโมชั่นต่างๆ
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ประกอบการทำกำไรจากซูเปอร์มาร์เก็ตได้เพิ่มขึ้น
ซีพียังมีนิสัยในการขยายการลงทุนต่อเนื่อง ถ้าที่ไหนสามารถขยายการลงทุนได้ก็จะขยายต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนกับคำพูดของ สยาม โชคสว่างวงศ์ ผู้จัดการทั่วไปสำนักบริหารกลางเครือฯ
ที่กล่าวว่า แนวความคิดของคนทำงานซีพี ก็คือความคิดที่ว่า โลกนี้คือตลาดเดียว
วัตถุดิบของโลกก็คือตลาดของซีพี
ดังนั้นคนทำงานซีพี จึงต้องพร้อมที่จะขยายงานไปจุดไหนในโลกก็ได้ที่มีโอกาสและความพร้อม
เมื่อมองเห็นว่าควรลงทุนอะไร ก็ต้องไปลงทุน
"เหมือนกับภาษิตจีนที่ว่า นักรบที่ดีต้องกล้าที่จะไปรบนอกบ้าน"
สยาม กล่าว
เช่นเดียวกับในธุรกิจค้าปลีกของซีพี ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการที่จะเข้าไปคลุมค้าปลีกในประเทศจีน
ไม่ว่าจะเป็นที่กวางเจา ซัวเถา ซึ่งมีสาขาของแม็คโครตั้งอยู่ โดยการร่วมทุนกับ
วอลท์มาร์ท และการเปิดโลตัสที่ฮือฮาในเซี่ยงไฮ้เมื่อกลางปี 2540
จากการเปิดสาขาโลตัส ที่เซี่ยง ไฮ้ เป็นภาพที่ทำให้การจะก้าวเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในจีนของซีพีชัดเจนขึ้น
สิ่งที่คนไทยไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงคือ ภาพการเข้าคิวซื้อของในห้างโลตัสที่เซี่ยงไฮ้เป็นจำนวนมหาศาลของคนจีน
ซึ่งกำลังจะเป็นจุดที่ทำให้ซีพีเกิดประกายความคิดที่ขยายสาขาโลตัสอีกอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นในจีน
และยังไม่นับรวมโอกาสในอนาคตที่ซีพีจะขยายกิจการต่างๆ จากจีนไปยังประเทศเกิดใหม่รอบๆ จีน ที่แยกตัวมาจากสหภาพโซเวียตเดิมได้อีก
"จริงๆ ไม่ใช่แต่จีนเท่านั้นที่ซีพีสนใจลงทุนธุรกิจต่างๆ กลุ่มประเทศที่เราสนใจยังมีที่อื่น
เช่นที่อินเดีย เพราะมีประชากรอยู่มากถึงกว่า 900 ล้านคน หรือเอเชียอาคเนย์ซึ่งมีประชากรอยู่ถึง
400 ล้านคน แต่เราคงต้องเริ่มจากธุรกิจที่เราถนัดมากๆ ก่อน เช่นเรื่องของเกษตรอุตสาหกรรม
แต่หลังจากนั้นเรื่องของช่องทางการตลาด หรือก็คือเครือข่ายค้าปลีกของซีพี
จะมีแนวโน้มว่าจะต้องตามเข้าไปอย่างแน่นอน" สยาม กล่าว
ธุรกิจค้าปลีกในจีนของซีพี มีรากฐานธุรกิจเริ่มต้นมาจากเกษตรอุตสาหกรรมอย่างที่ทราบกันดี
โดยมีการลงทุนมานานนับ 10 ปี เริ่มต้นด้วยเกษตรอุตสาหกรรม จนมีโรงงานกว่า
80 โรงงานในทุกมณฑลของจีน โรงงานเบียร์ ปิโตรเคมี หรือแม้กระทั่งการเข้าร่วมกับโครงการดาวเทียมซึ่งเป็นธุรกิจโทรคมนาคม
ซึ่งมีความสำคัญอีกอย่าง ก่อนที่ในอนาคตเราจะเห็นเครือข่ายค้าปลีกของซีพีในทั่วทุกมณฑลของจีนก็เป็นได้
ถึงวันนี้ ซีพีถือว่าก้าวสู่ความเป็นผู้ดำเนินการธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัว
ไม่เฉพาะในไทยและในประเทศจีนด้วย สำหรับประเทศจีนแล้ว การลงทุนด้านธุรกิจค้าปลีกในจีน
ยังทำให้ซีพีก้าวไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกแขนงหนึ่งด้วย
ขณะเดียวกัน วิชัย เจริญธรรมานนท์ ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจการตลาด ซีพี กล่าวว่า
นอกจากธุรกิจค้าปลีก ยังมีอีกสามธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะในช่วงนี้คือ
ธุรกิจส่งออก ธุรกิจท่องเที่ยวและการขายแรงงาน เพราะทุกธุรกิจเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องลงทุนมาก
อย่างไรก็ดี ซีพีมีความพยายามที่จะกุมช่องทางการตลาดเหมือนกับคำพูดของนักการตลาด
หรือนักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ที่มักจะพูดกันเสมอว่า ในคลื่นลูกที่สามหากใครสามารถกุมช่องทางการตลาดไว้ได้มาก
ผู้นั้นจะเป็นผู้กุมเศรษฐกิจไว้
สำหรับประเทศจีนซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงผลงานได้ดีของซีพี ในฐานะตัวแทนที่จะเป็นการเจาะช่องทางการตลาดค้าปลีกและการส่งออกให้กับนักธุรกิจชาวไทยได้ดี
เพราะจากรากฐานการลงทุนและความสัมพันธ์ที่ยาวนานในจีน ทำให้ซีพีเองก็พยายามใช้ตัวเองเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ผลิตในไทยกับจีน
เพื่อเปิดช่องทางการนำสินค้าของไทยไปขายในจีน
"จีนเพิ่งเปิดประเทศเมื่อปี 1978 (2521) ประมาณ 19 ปีเท่านั้น การเจาะตลาดแต่ละแห่งในจีนเป็นเรื่องยากมาก
ก่อนหน้านั้นผู้ส่งออกไทยมักจะใช้บริษัทการค้าที่ฮ่องกงและสิงคโปร์เป็นตัวกลางในการส่งออก
แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้เงินรั่วไหลไปกับชาติอื่น เราเลยเสนอตัวเป็นตัวกลางให้กับผู้ผลิตไทย"
วิชัย กล่าว
โดยซีพี จะเป็นผู้พิจารณาสินค้าเพื่อนำเข้าจีน โดยใช้เครือข่ายค้าปลีกของซีพีเป็นช่องทางการจัดจำหน่าย
และแน่นอนงานนี้เริ่มกันที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีโลตัสเป็นฐานกระจายสินค้า หรือแม็คโครที่สาขากวางเจา
และซัวเถา เป็นสิ่งที่ซีพีหวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นตัวกลางผ่านสินค้าไทยไปสู่มือผู้บริโภคชาวจีน
เพราะปัจจุบันสินค้าในโลตัสที่มีอยู่มีจำนวนถึง 90% ของสินค้าทั้งหมดเป็นสินค้าที่ผลิตในจีน
ในขณะที่ตัวเลขรายได้จากธุรกิจนี้ของซีพี มาจากแม็คโครที่กวางเจา ซึ่งครบรอบ
1 ปี ในปี 2540 มีลูกค้าหมุนเวียน 1-2 หมื่นราย มียอดขาย 7-8 ล้านบาทต่อวัน
แผนการลงทุนเซเว่น-อีเลฟเว่นในเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ระหว่างขออนุญาตจากบริษัทแม่ที่อเมริกา
ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายของการค้าปลีกที่ซีพีให้ความสำคัญมาก และที่โลตัสสาขาเซี่ยงไฮ้
ซึ่งมีคนเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าวันละ 5 หมื่นถึง 1 แสนคน มีรายได้ในวันธรรมดาประมาณ
1.5 ล้านหยวน และประมาณ 2 ล้านหยวนในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างซีพี
เดอะมอลล์ กรุ๊ป และห้างหัวเหลียนของจีน
เครือข่ายค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจการจำหน่ายและค้าปลีกของซีพีในจีน นอกจากโลตัสและแม็คโครแล้ว
ยังมีเครือข่ายจากการร่วมทุนของซีพีกับห้างเฟรนด์ชิพ ห้างท้องถิ่นที่เซี่ยงไฮ้ในชื่อบริษัทซีพี
เฟรนด์ชิพ ซึ่งจะเปิดห้างสรรพสินค้าบริษัทถนนหวายไฮ่ เป็นห้างสรรพสินค้า
4 ชั้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร
รวมถึงการลงทุนคอมเพล็กซ์ริมแม่น้ำหวางผู่ ในโครงการเจียไต๋ริเวอร์ เฟช
โดยซีพีเอง ซึ่งจะเป็นศูนย์ทุกอย่างที่คนเดินทางมาเซี่ยงไฮ้ต้องมาเที่ยว
โดยจะใช้พื้นที่ 30,000 ตารางเมตร บริเวณชั้นล่างเปิดโลตัส ซึ่งทั้ง 2 แห่ง
คาดว่าจะเปิดดำเนินงานภายในปีนี้
สำหรับซัปพลายเออร์ที่สนใจจะไปร่วมกิจกรรมค้าปลีกกับซีพีในจีน ซีพีมีบริษัท
2 บริษัทที่จะรองรับผู้ผลิตจากไทย คือบริษัท ซีเอส ดิสทริบิวชั่น จำกัด ทำหน้าที่ขายสินค้าและกระจายสินค้าในประเทศไทย
และบริษัท ซีเอส อีสเวล (ไทยแลนด์) จำกัด ทำหน้าที่นำเข้าและส่งออกสินค้าจากประเทศจีนไปไทย
และไทยไปจีน เพื่อรองรับผู้ผลิตทั้งของจีนและของไทย
"ผู้ส่งสินค้าไทย ถ้าจะส่งสินค้าไปจีนเองไม่เกิดแน่ เพราะยากมาก ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกก็แพง
เขาจะคิดเป็นราคาต่อตารางเมตรต่อวัน ถ้าเป็นพื้นที่ชั้นดีจะตกประมาณ 5 ดอลลาร์ต่อวันต่อตารางเมตร
แต่ถ้าผ่านเราเรื่องการเช่าพื้นที่ก็จะตกลงกันได้เป็นเดือน เพราะเรามีอำนาจต่อรอง
อีก 2 ปี โครงการริเวอร์เฟชของเราเสร็จเราก็จะเปิดขายพื้นที่เหมือนกัน"
วิชัย กล่าว
ปัจจุบันทั้งโลตัส และแม็คโคร สินค้าที่ขายใช้สินค้าจีนเป็นหลัก แต่ในอนาคตซีพีพยายามจะหาสินค้าจากต่างประเทศเข้าไป
ซึ่งตอนนี้ซีพีนอกจากมีบริษัท 2 บริษัทดังกล่าว ยังเปิดนโยบายที่จะร่วมทุนเพื่อนำสินค้าจากไทยเข้าไปในจีน
ในลักษณะการร่วมทุน ในทุกระดับกิจการ
การส่งสินค้าไปยังจีน ซึ่งซีพีถือเป็นผู้กุมช่องทางการตลาดได้มากคนหนึ่งนั้น
สยามกล่าวว่า คนไทยควรจะเปลี่ยนความคิดที่จะส่งสินค้าผ่านไปยังฮ่องกง เพราะความเชื่อที่ว่าฮ่องกงเป็นประตูสู่จีน
ทำให้ต้องเสียค่าหัวคิวให้กับบริษัทในฮ่องกง ทำไมไม่เชื่อซีพี ซึ่งเป็นบริษัทคนไทยด้วยกันเอง
และให้ความมั่นใจว่าไทยก็สามารถขายสินค้าให้จีนได้โดยตรง
เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเชื่อได้ว่า ผู้ส่งสินค้าไทยจะมั่นใจในซีพีได้เพราะซีพีถือเป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญและมีความสัมพันธ์ที่ดีในจีน
แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้ส่งสินค้ากับซีพี ว่าจะตกลงเรื่องสัญญาและผลตอบแทนกันเป็นที่พอใจหรือไม่อย่างไร
สำหรับซีพีเอง มีการเตรียมรับการดำเนินงานในเรื่องนี้ไว้อย่างดี โดยเฉพาะการมีผู้จัดการจัดซื้อของโลตัสที่จีนเป็นคนไทยทั้งทีม
ซึ่งจะสามารถให้คำแนะนำเรื่องสินค้าที่จะส่งเข้าไปขายคนจีนได้ดี ข้อกำหนดง่ายๆ
เริ่มแรกสำหรับสินค้าก็คือ สินค้าที่ส่งผ่านซีพีจะต้องเป็นสินค้าดี มีคุณภาพ
ถ้าใครหวังจะตีหัวเข้าบ้าน คงไม่ผ่านกฎเหล็กการคัดเลือกสินค้าของซีพี
ทั้งนี้ยังมีการพูดถึงธุรกิจร้านอาหารซึ่งต่อเนื่องกับธุรกิจค้าปลีก โดยสยามให้เหตุผลว่า
เนื่องจากธุรกิจภัตตาคารเป็นรูปแบบธุรกิจบริการอย่างหนึ่ง ที่ลงทุนต่อไปแล้วจะสามารถนำไปขยายในจุดต่างๆ
ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ในช้อปปิ้งมอลล์ ซึ่งสามารถกลายเป็นเรือธงในการเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหาร
ซึ่งเป็นธุรกิจที่ซีพีมองว่าเป็นธุรกิจที่ดีอีกอย่างหนึ่งอย่างที่เราได้สัมผัสกันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเชสเตอร์ กริลล์ เคเอฟซี เป็นต้น
ทางด้านประวิตร ไวรุ่งเรืองกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี คอนซูเมอร์
โปรดักส์ จำกัด ซึ่งถือเป็นอีกบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจค้าปลีกของ
ซีพี กล่าวถึงหลักการทำตลาดของซีพีว่า จะเน้นที่ทีมการตลาดเมื่อเรามีสินค้า
สิ่งที่ซีพีเน้นไม่ใช่การโปรโมตหรือการขายเพียงอย่างเดียว แต่ใช้การตลาดเป็นตัวนำหลัก
ตัวอย่างเช่น การทำตลาดในภูมิภาคเอเชียด้วยกันเอง อย่างเวียดนาม พม่า ลาว
เขมร ซีพีจะต้องส่งทีมที่เชี่ยวชาญการตลาดเข้าไปพร้อมกับสินค้า
"คนไทยยังอ่อนเรื่องของการตลาด จะถนัดแค่รับมาผลิตแล้วส่งสินค้าไป
เราต้องส่งสินค้าโปรโมตสินค้า แล้วมีการตลาดที่เหมาะสมกับตลาด เพื่อจะได้เข้าใจค่านิยมในการบริโภคของผู้ซื้อสินค้า"
สำหรับซีพีคอนซูเมอร์ ประวิตร กล่าวว่า การรับจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น
ทำให้แม้ภาวะเศรษฐกิจจะแย่ แต่ยอดขายก็จะไม่กระทบกระเทือนเท่าไรนัก โดยจากเดิมที่บริษัทมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยปีละ
20% ก็ลดเหลือเพียง 17% ในปีที่ผ่านมา โดยมียอดขายรวมของบริษัทฯ ในปี 2540
ประมาณ 1,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตของบริษัทซีพีคอนซูเมอร์ โปรดักส์ ยังถือว่ามีช่องทางที่สดใสมากอีกด้วย
เพราะในความเห็นของผู้ผลิตโดยทั่วไปในปัจจุบัน มักจะไม่ดำเนินการขายสินค้าที่ผลิตเอง
เพราะเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย
เรียกได้ว่าหมดยุคของผู้ผลิตกันไปแล้วอย่างแท้จริง เพราะผู้ผลิตที่จะจัดจำหน่ายสินค้าของตนเอง
จะมีอำนาจการต่อรองการจัดวางสินค้าน้อย จะมีก็เพียงบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่เท่านั้น
ที่อาจจะพอมีอำนาจทำได้ เพราะฉะนั้นบรรดาผู้ผลิตทั่วไป จึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรทางการค้า
เพื่อให้สินค้าของตนเองกระจายถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง
และสำหรับซีพีคอนซูเมอร์ฯ เองแล้ว นอกจากจะมีฐานการจัดจำหน่ายที่เป็นเครือข่ายในค่ายซีพีเหมือนกันแล้ว
ยังมีฐานะที่จะกระจายสินค้าไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียนี้ได้อีกมากด้วย
ถึงตอนนี้ อนาคตความยิ่งใหญ่ในการกุมช่องทางการตลาดของซีพีคงจะใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว